วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์กระษัย



คัมภีร์กระษัย

ในบทนี้ จะกล่าวถึงโรคกระษัย ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายเกิดความสึกหรอ จะบังเกิดอาการเจ็บป่วย ต่างๆ ดังคัมภีร์ ต่อไปนี้
คัมภีร์กระษัย มี ๒ ประเภท แบ่งได้ ๒๖ จำพวกคือ
ประเภทที่ ๑ กระษัยเกิดเป็นอุปปาติกะโรค มี ๑๘ จำพวก
ประเภทที่ ๒ กระษัย เกิดแต่กองธาตุสมุฎฐาน มี ๘ จำพวก
อาการของกระษัย ประเภทที่ ๑ กระษัยที่เกิดเป็นอุปปาติกะโรค ๑๘ จำพวก คือ
. กระษัยล้น เกิดด้วยน้ำเหลือง โดยกำลังวาโยพัดให้เป็นฟองแล้วขันเข้าเป็นก้อน กระทำให้ท้องลั่นขึ้นลั่นลง ข้างขึ้นให้แดกอก ข้างแรมให้ถ่วงหัวเหน่า ดังจะขาดใจตาย
หมายเหตุ - เกิดจากน้ำเหลืองเสีย อาการที่เป็นดังนี้ ความจริงไม่ใช่้เกิดเพราะน้ำเหลืองเสีย หากแต่เกิดจากท้องเสีย ท้องเฟ้อ และเกิดลมในลำไส้ มีอาากรจุกเสียดไป ตามท้อง เป็นโรคเกี่ยวกับธาตุพิการ
( จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๑)
. กระษัยราก บังเกิดเพื่อลมร้อน ให้อาเจียนลมเปล่า และให้ลั่นอยู่ในอุทรดังจ๊อกๆ ให้ตึงทั้งกายดุจบุคคลเอา เชือกมารัด ไว้ให้ผู้นั้นร้องครางอยู่ทั้งวัน ทั้งคืนมิได้ขาด ดังจะขาดใจตาย
หมายเหตุ - อาการนี้เป็นอาการของท้องเสีย เกิดลมในท้อง ทำให้เรอ ให้อาเจียนลม และปวดศีรษะ ท้องลั่นเพราะน้ำและลม ระคนกัน เคลื่อนไหวในลำไส้ จึงเกิด เป็น เสียง จ๊อกๆ อาการน้ำที่ไหล ไปตามลำไส้นั้น คนปรกติ ก็มี เมื่อเอาแตะฟังดูที่ท้อง ก็จะได้ยินทุกคน ถ้าเป็นมากเกินไป เวลาท้องเสีย ก็จุกเสียด ตัวแข็งไป
   (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยเหล็ก มีอาการกระทำให้หัวเหน่าและท้องน้อยแข็งดุจดังแผ่นศิลา ให้ไหวตัวไปมามิได้ ครั้นแก่เข้าแข็งลาม ขึ้นไปถึง ยอดอก ให้บริโภคอาหารไม่ได้ ให้ปวดขบดังจะขาดใจตาย
หมายเหตุ - อาการนี้เป็นอาการของอุจจาระผูก ที่เป็นพรรดึก ถ้าเป้นมาก ก็ทำให้ลำไส้กลัดอุจจาระ ท้องแข็งไปหมด กินอาหารไม่ได้ และปวดเสียด

   (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยปู เกิดเพื่อโลหิตคุมกัน มีสัณฐานดังปูทะเล เข้ากินอยู่ในกระเพาะข้าว ให้ปวดขบท้องน้อยเป็นกำลัง บริโภคอาหาร ทับลงไปเมื่อใดค่อยสงบลง ครั้นสิ้นอาหารแล้วกระทำให้ขัดอยู่ในลำไส้ อั้นไปทั้งท้องเจ็บดังจะขาดใจ
หมายเหตุ - อาการดังกล่าวนี้ สันนิษฐานได้ ใกล้ความจริง ว่าเป็นแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร ( เปปติก อัลเซอร์) หรือลำไส้เล็กตอนต้น
(   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยจุก กล่าวคือวาโยเดินทางเข้าไปในเส้นเอ็นภายใน เป็นอาคันตุกวาตะ และให้เส้นนั้นพองขึ้นในท้อง ให้จุก ให้แดก ดัง จะขาดใจ นอนคว่ำร้องอยู่เป็นนิจ จะนอนหงายมิได้ ให้ทุกขเวทนา เป็นกำลัง
หมายเหตุ - อาการนี้ เป็นอาการอย่างหนึ่งของท้องท้องขึ้นอย่างแรง  มีลมมากในท้อง
(   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยปลาไหล ครั้นนานเข้าจึงกระทำโทษ เอาหางชอนลงไปแทงเอาหัวเหน่า และทวารหนัก ทวารเบา แล้วให้ขัดอุจจาระ-ปัสสาวะ ให้ปัสสาวะเหลืองดังขมิ้น บางทีแดงดังน้ำฝางต้ม ดังน้ำดอกคำ และตับกระษัยนั้นพันขึ้นตามลำไส้ เอาหัวแผงขึ้น ไปถึงชายตับ และกระเพาะข้าว ถ้าบริโภคอาหารลงไปตัวกระษัยก็กัดเอาชายตับ ชายม้าม เจ็บปวดยิ่งนัก บางทีให้ให้เมื่อย ขบทุกข้อ ทุกกระดูก บางทีให้ขนชูดุจไข้จับ
หมายเหตุ - อาการของโรคนี้สันนิษฐานเห็นว่า เป็นโรคเกี่่ยวกับเครื่องย่อยอาหารพิการ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ  อุจจาระผูก และเกิดลมในลำไส้
    (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยปลาหมอ   มีจิตวิญญาณเกิดขึ้นในลำไส้ ถ้าข้างขึ้นตัวกระษัยบ่ายศีรษะขึ้นมา กัดเอาชายตับ ชายม้าม และปอด ทำให้จุกแดก ถ้าข้างแรมตัวกระษัยบ่ายศีรษะลงไปในท้องน้อยและหัวเหน่า ทำให้ขัดอุจจาระปัสสาวะ ให้เจ็บปวดเวทนาเป็นกำลัง ให้ร้องครวญครางอยู่ ดังจะขาดใจตาย
หมายเหตุ- อาการที่กล่าวมานี้ ก็แสดงว่า ลมในลำไส้ วิ่งเสียดแทงไป ซึ่งเป็นอาการของท้องขึ้น  ท้องเสีย และเกิดลมในลำไส้
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยปลาดุก เกิดขึ้นเพื่อโลหิตและน้ำเหลืองระคนกัน มีจิตวิญญาณดังปลาดุก เกิดขึ้นในกระเพาะข้าว ถ้าสตรีจับมดลูก ให้มีสัณฐานดังหญิงตั้งครรภ์ได้ ๗-๘ เดือน บางทีแทงไปซ้ายไปขวา ถ้าข้างขึ้น ยันไปยอดอกให้เจ็บอก ต้องสมมุติได้ บางที ให้หอบ ให้สะอึก ถ้าข้างแรม เลื่อนลงมาท้องน้อย และหัวเหน่า บางทีต่ำลงไปกระดูกสันหลัง ตึงลงไปต้นขาทั้ง ๒ ข้าง มิทันรู้ก็ว่ามีครรภ์
หมายเหตุ - อาการดังกล่าวมานี้  อาจเป็นอาการของเนื้องอกที่มดลูก  หรืออวัยวะอื่น ในท้อง ซึ่งมีอาการไม่สบายอึดอัดหลายอย่าง
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
. กระษัยปลวก เกิดขึ้นเพื่อสัณฑะฆาต กระทำให้ปวดขบทรวงอก ดังจะขาดใจตาย เป็นแล้วหายไป ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ก็กลับเป็นอีก เป็นอย่างนี้หลายครั้งหลายหน ครั้นนานเข้าทำให้ผิวเนื้อขาวซีด และเผือดผอมแห้งลง มิทันรู้ว่าฝีปลวก ต่างกันตรงที่ฝีปลวกมีหนอง กระษัยปลวกไม่มีหนอง
หมายเหตุ - อาการนี้ เป็นอาการของลมในลำไส้ ซึ่งเป็นๆ หายๆ   เนื่องจากธาตุพิการนั่นเอง
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๒  )
๑๐. กระษัยลิ้นกระบือ   เกิดเพื่อโลหิตลิ่ม ติดอยู่ชายตับเป็นตัวแข็งยาวออกมาจากชายโครงด้านขวา มีสัณฐานดังลิ้นกระบือ กระทำให้ครั่นตัว ให้ร้อน ให้จับเป็นเวลา ให้จุก ให้แน่นอก บริโภคอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับเป็นนิจ ให้กายซูบผอมแห้งไป ครั้นนานเข้า กระษัยแตกออกเป็นโลหิต น้ำเหลืองไหลซึมไปในลำไส้ใหญ่ไส้น้อย ให้ไส้พองท้องใหญ่ ได้ชื่อว่า มานกระษัย รักษายาก นานไปกระษัยแตกออกแก้ไม่ได้( ให้แก้แต่ยังเป็นลิ้นกระบือ)
หมายเหตุ - ตามอาการที่กล่าวมานี้   แสดงว่าเป็นไข้จับสั่นเรื้อรัง  ถึงขั้นม้ามโต จนท้องดูใหญ่  ในเด็กจะเห็นได้ชัด  หรือเป็นโรคโลหิตจางขนิดม้ามโต ก็ได้  ที่ กล่าวว่า ท้องโตข้างขวาเป็นตับนั้น  อาจเป็นม้ามซึ่งอยู่ข้างซ้ายก็ได้  ที่ว่าข้างขวานั้นเป็นข้างขวาคนไข้ หรือข้างขวาของหมอ เมื่อคนไข้หันหน้าตรงหมอ  ข้างขวาของ หมอคือข้างซ้ายของคนไข้ ถ้าเป็นข้างขวาของคนไข้ ก็แน่ว่าเป็นที่ตับ  ซึ่งอาจเป็นโรคตับได้หลายอย่าง เช่นตับบวม
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )
๑๑. กระษัยเต่า    เกิดเพื่อดานเสมหะ ตั้งอยู่ที่ชายโครงซ้ายขวาเท่าฟองไข่ แล้วลามขึ้นมาจุกอยู่ยอดอก กระทำให้จับทุก เวลาน้ำขึ้น ให้กายซูบผอมผิวเนื้อเหลืองดังขมิ้น ครั้นนานเข้าให้โลหิตตกทวารหนัก ทวารเบา โทษทั้งนี้ คือ ตัวกระษัยแตกออก เป็นอสาทิยโรค
หมายเหตุ- กระษัยนี้ก็เช่นกระษัยลิ้นกระบือ  คือไข้จับสั่นและม้ามโต  ไข้จับสั่นนี้เมื่อเป็นเรื้อรังนานๆ   ก็ทำให้ ซูบผอม  ผิวเหลือง  ท้องโต  หมดกำลัง  โรคอื่นเข้า ซ้ำเติม  ทำให้ตายได้   ในตำราโบราณ ก็บ่งช้ดไว้ลางตอนว่า  เป็นม้ามย้อยหย่อน  ลางทีเป็นเต่า  ลางทีเป็นช้าง  เพราะอาการที่ม้ามหย่อนลงนั้น  นูนเหมือนเต่า ก็เรียก กันว่า กระษัยเต่า
      (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )
๑๒. กระษัยดาน   ตั้งอยู่ยอดอก แข็งดังศิลา ถ้าตั้งลมลงไปถึงท้องน้อยเมื่อใด กระทำให้ร้องครางอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ถูกเย็นเข้าไม่ได้ ถ้าถูกร้อนเข้าค่อยสงบลงหน่อย แล้วกลับปวดอีก ทำให้จุกเสียดแน่นหน้าอก บริโภคอาหารมิได้ ถ้าลามลง ถึงหัวเหน่าเมื่อใด เป็นอติสัยโรค รักษามิได้ ถ้าจะรักษาก็ต้องรักษาแต่ยังไม่ลงถึงหัวเหน่า
หมายเหตุ - อาการนี้ เป็นอาการของลมในลำไส้  กระทำให้ท้องแข็ง  เนื่องจากโรคเครื่องย่อยอาหาร เช่นที่ได้กล่าวมาแล้ว
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )

๑๓. กระษัยทัน   เกิดเพื่อบริโภคอาหาร เมื่อท้องว่างอยู่ และยังมิได้บริโภคอาหารก็สงบเป็นปกติดี ครั้นบริโภคอาหาร เข้า ไปน้อยก็ดี มากก็ดี จึงกระทำให้ทันขึ้นมายอดอก บางทีให้อาเจียน บางทีให้แน่นอก และชายโครง ให้หายใจไม่ตลอดท้อง ดังจะสิ้นใจ แล้วกระทำให้แน่นขึ้นมา แต่ท้องน้อย ชักเอากระเพาะข้าวแขวนขึ้น
หมายเหตุ - อาการนี้   เป็นอาการของกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ  หรือท้องขึ้นอย่างแรง
    (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )

๑๔. กระษัยเสียด   เกิดเพื่อลมตะคริวขึ้นมาแต่แม่เท้า ขึ้นตามลำเส้นตะคริว ทำให้ปวด สะดุ้งทั้งตัว แล้วขึ้นเสียด เอาชาย โครงทั้ง ๒ ให้ร้องดังจะขาดใจ บางทีให้ขบไปทั่วทั้งตัว ถ้าจะรักษา ให้นวดเสียก่อน ให้คลายแล้ว จึงแต่งยาให้กิน
หมายเหตุ - อาการนี้ อาจเนื่องจากลมในลำไส้ธาตุพิการ  หรือการอักเสบของประสาท
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )
๑๕. กระษัยเพลิง(ไฟ)    เกิดเพื่อเตโชธาตุ ๓ ประการคือ
๑๕.๑ สันตัปปัคคี
๑๕.๒ ชิรณัคคี
๑๕.๓ ปริทัยหัคคี
ทั้ง ๓ นี้ กระทำให้จับแต่เวลาบ่าย ให้จักษุแดง ให้เจ็บอยู่ยอดอก มักเป็นฝีมะเร็งทรวง ให้บวมหน้า บวมท้อง ให้ตัวเย็น แต่ร้อน ในดังไฟเผา ตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว ให้จุกอก ให้แดกอก ให้เสียดสีข้างจะไหวตัวก็มิได้ จับเส้นปัตคาด ปวดขบเป็นกำลัง บริโภค อาหาร เข้าไปให้ผะอืดผะอม ให้ท้องขึ้นและไม่ผายลม ให้แน่น บริโภคอาหารไม่ได้ ให้เหงื่อตกทุกเส้นขน
หมายเหตุ - อาการนี้ก็เกิดจากท้องเสีย  มีลมในลำไส้ จุกเสียดนั่นเอง
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )
๑๖. กระษัยน้ำ   เกิดเพื่อโลหิต น้ำเหลือง เสมหะ ประการใดประการหนึ่ง ถ้าเป็นทั้ง ๓ ประการ เรียกว่า กระษัยโลหิต ( กระษัย เลือด) ถ้าสตรีตั้งใต้สะดือ ๓ นิ้ว ถ้าบุรุษตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว( ถ้าสตรีแจ้งในคัมภีร์มหาโชตรัตน์ บุรุษแจ้งในคัมภีร์มุจฉา ปักขันทิกา) กระษัยนี้ถ้าบังเกิดในผู้ใด ทำให้ปวดขบถึงยอดอก ดังจะขาดใจ แล้วตั้งลามขึ้นไปดังฝีมเร็งทรวงและฝีปลวก
หมายเหตุ- อาการเหล่านี้ ก็เช่นเดียวกับกระษัยอื่นๆ ที่เกิดเพราะธาตุพิการ และเกิดลมในลำไส้ มีอาการเจ็บต่างๆ กระษัยนี้ตำราโบราณ กล่้าวไว้อีกว่า  ถ้าเป็นแก่ชาย เป็น ก้อนเลือดจับหน้าอก ให้กลายเป็นฝีในอก ฝีหัวคว่ำ  ลางทีเป็นมารเลือด ลางทีกลายเป็นมุตกิต มุตฆาต สันฑฆาต  ข้อนี้ ก็พูกมากเกินไป เพราะผู้ชาย จะเป็นมุตกิตไม่ได้
     (   จากหนังสือ อายุรเวทศึกษา โดยขุนนิทเทศสุขกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ หน้า๓๓๓  )
๑๗. กระษัยเชือก ตั้งขึ้น แต่หัวเหน่า หยั่งถึงหัวใจ แข็งดุจเหล็ก ให้แน่นชายโครงเป็นกำลัง ให้จุกเสียด ให้ขัดอุจจาระปัสสาวะ และให้ปัสสาวะดำเป็นมัน กระทำให้บริโภคอาหารมิได้ ให้อิ่มไปด้วยลม ให้จับเป็นเวลา บางทีให้ร้อน บางทีให้หนาว ต่อนวดจึง คลาย หน่อยหนึ่ง ถ้ามิได้นวดให้ตึง จะย่อตัวก็ไม่ได้ ดุจบุคคลเอาเหล็กมาเสียบไว้ มีความเวทนาเป็นกำลัง
๑๘. กระษัยลม เกิดเพื่อลม ๖ จำพวก
๑๘.๑ เกิดเพื่อลมในลำไส้ เป็นดานกลมเข้าประมาณเท้าลูกในตาล เมื่อนานเข้าให้แข็ง ไปทั้ง ๒ ข้าง ให้จุกเสียด แน่นในอก
๑๘.๒ เกิดเพื่อลมนอกลำไส้ ให้แล่นเข้าในกระดูก ให้เมื่อยขบในกระดูก ดังจะแยกจากกัน
๑๘.๓ เกิดเพื่อลมทั่วกาย ลมอันนั้นประมวลกันเข้า ตั้งอยู่เหนือสะดือ เท่าลูก มะเดื่อ ให้จุกเสียดแน่นอกเป็นกำลัง
๑๘.๔ เกิดเพราะลมอุทรวาต เกิดแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ เมื่อจะเป็นแก่บุคคล ลมนั้นพัดอยู่เพียงยอดอก แล่นเข้าลำ ไส้ ให้เป็นเม็ดในลำไส้ มักให้เป็นฝีรวงผึ้ง เจ็บปวดพ้นประมาณ
๑๘.๕ เกิดเพื่อลมที่พัดจากกระหม่อมถึงปลายเท้า หากพัดไม่ตลอด ตันอยู่แค่ไหน ให้เจ็บอยู่แค่นั้น
๑๘.๖ เกิดเพื่อลม ที่ตั้งอยู่ ๔ แห่ง คือ
๑๘..๑ ใต้สะดือ ๑ แห่ง
๑๘..๒ เหนือสะดือ ๑ แห่ง
๑๘..๓ ริมสะดือซ้าย ๑ แห่ง
๑๘..๔ ริมสะดือขวา ๑ แห่ง
อาการของกระษัยประเภทที่ ๒ เกิดแต่กองสมุฎฐานธาตุมี ๘ จำพวก
. กระษัยกล่อนดิน เมื่อจะบังเกิดตั้งเป็นก้อนขึ้นที่หัวเหน่า ซ้ายหรือขวา แล้วเลื่อนลงมา อัณฑะ กำเริบฟกขึ้นจับต้องเข้ามิได้ จะกระทบผ้านุ่งก็มิได้ ให้เจ็บเสียวตลอดถึงหัวใจ ให้เสียวตาม ราวข้างและทรวงอก ให้ปวดขบในทรวงอก เป็นกำลัง ให้เจ็บไป ทั่วสรรพางค์กาย
. กระษัยกล่อนน้ำ เกิดเพื่อกองอาโปธาตุ คือโลหิต น้ำเหลือง เสลด อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดทั้ง ๓ เรียกว่า กระษัยโลหิต ถ้าสตรีเกิดใต้สะดือ ๓ นิ้ว ถ้าบุรุษตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว ให้ท้องใหญ่ ดุจกันกับสตรี ( เหมือนกันกับกระษัยน้ำที่ได้กล่าวมาแล้ว)
กระษัยนี้เกิดขึ้นแก่บุคคลใดแล้ว ทำให้ปวดขบยอดอก ให้เจ็บปวดดังจะขาดใจตาย บางทีตั้งลามขึ้นไปถึงตับและหัวใจ เป็นดุจ ฝีมะเร็ง ทรวงและฝีปลวก
. กระษัยกล่อนลม เมื่อกำเริบนั้น ข้างขึ้นข้างแรมเหมือนกัน ถ้าเวลาเช้าคลายสักหน่อยดุจคนดี เวลาบ่ายจึงกระทำให้จุกขึ้นมา แล้ว กัด ขบ ตอดในทรวงอก ให้ร้อนในอก ให้ตัวเย็นยิ่งนัก แล้วให้ปวดขบ เป็นกำลัง ถ้าบริโภคอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งอันร้อน จึงจะคลายสักหน่อย
. กระษัยกล่อนไฟ กล่าวคือเพลิงธาตุทั้ง ๔ มิได้เป็นปกติ จึงให้วิปริตแปรไปต่างๆ บางทีให้ตั้ง ในนาภีและทรวงอก กระทำ ให้แน่นหน้าอก บริโภคอาหารมิได้ บางทีให้จักษุปวดดังจะขาดใจตาย บางทีก็ให้เสโทตกทุกเส้นขน ทำให้จักษุแดง ให้รุมเจ็บ อยู่ที่ยอดอก ให้จับแต่เวลาบ่าย ให้บวมหน้า บวมหลัง บวมเท้า ถ้า บวม ๓ อย่างรักษาไม่ได้
. กระษัยกล่อนเถา เกิดเพื่อลมสัณฑะฆาต และปัตคาด แล่นเข้าในลำไส้ให้เส้นพอง แข็งขวางอยู่ หัวเหน่า มาบรรจบ เกลียวข้าง ถ้าผู้ชายขึ้นข้างขวา หญิงขึ้นข้างซ้าย เสียดตามชายโครงถึงยอดอก ปวดขบในอด เสียวตลอดถึงลำคอ บางที อาเจียนแต่น้ำลาย ถ้าอาเจียนออกมา อาการปวดทุเลา ทำให้อาการดุจฝีปลวก ฝีมะเร็งทรวง ผิดกันที่น้ำมูตร ถ้าเป็น กระษัย น้ำมูตร แดงติดจะเหลือง เอาถ้วยรองไว้ดู ถ้ามันนอนก้นสีดังน้ำปูนกินหมาก ถ้าฝีสีดำ โรคนี้เป็นเพราะกินของคาวหวานนัก เป็นๆ หายๆ ประมาณ ๑๒๑๓ ปี แล้วกลายเป็นมานกระษัย รักษไม่ได้ ให้แก้แต่ยังอ่อน กระษัยน้ำ กระษัยลม กระษัยไฟ เหมือนที่กล่าวแล้ว
ยาที่ใช้ในการรักษากระษัยทั้งหมด มีดังนี้


. สมอดีงู หนัก ๒๐ บาท

. สมอไทย หนัก ๒๐ บาท
. แสมทะเล หนัก ๑๐ บาท
. แสมสาร หนัก ๑๐ บาท
. ใบมะกา หนัก ๑๐ บาท
. ใบมะดัน หนัก ๑๐ บาท
. ขี้เหล็ก หนัก ๑๐ บาท
. เกลือ หนัก ๑๐ บาท
. บอระเพ็ด หนัก ๑๐ บาท
๑๐. รากช้าพลู หนัก ๑๐ บาท
๑๑. แก่นลั่นทม หนัก ๕ บาท
๑๒. รากเจตมูลเพลิง หนัก ๕ บาท
๑๓. ดีปลี หนัก ๕ บาท
๑๔.. กะเพรา หนัก ๕ บาท
๑๕. ดินประสิว หนัก ๕ บาท
๑๖. ยาดำ หนัก ๕ บาท
๑๗. สะค้าน หนัก ๕ บาท
๑๘. ส้มป่อย หนัก ๕ บาท
๑๙. เถาวัลย์เปรียง หนัก ๕ บาท
๒๐. ใบมะขาม หนัก ๕ บาท
๒๑. ดอกคำฝอย หนัก ๕ บาท
๒๒. เทียนทั้ง ๙ หนัก ๒ บาท
๒๓. ฝักราชพฤกษ์ หนัก ๓ บาท
วิธีปรุง นำตัวยาทั้งหมดมาต้มรวมกัน
วิธีรับประทาน วันละ ๓ ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น กลางวัน เย็น ( เพิ่มลดได้ตามธาตุหนัก เบา) ครั้งละ ๒-๓ ช้อนโต๊ะ

ยารักษากระษัยตามเภสัชตำรับ

. ยาประสะเจตพังคี

ส่วนประกอบ - ดอกจันทร์ ลูกจันทน์ ลูกกระวาน ใบกระวาน กานพลู กรุงเขมา  รากไคร้เครือ การบูร ลูกสมอทะเล พญารากขาว เปลือกหว้า เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ ๑ ส่วน/พริกไทยล่อย บอระเพ็ด หนักสิ่งละ ๒ ส่วน/ ข่า หนัก ๑๖ ส่วน / ระย่อม หนัก ๒ ส่วน / เจตพังคี หนัก ๓๔ ส่วน

สรรพคุณ    แก้กระษัยจุกเสียด
ขนาดรับประทาน    รับประทานเช้าและเย็น ก่อนอาหาร ครั้งละ ๑ ช้อนกาแฟ   ละลายน้ำสุกเป็นกระสายยา

ยาธรณีสันฑะฆาต

ส่วนประกอบ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู, เทียนดำ เทียนขาว, หัวดองดึง หัวบุกหัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง ลูกเร่ว ขิง ชะเอมเทศ รากเจตมูลเพลิงแดง, โกฐกระดูกโกฐเขมา โกฐน้ำเต้า หนักสิ่งละ ๑ ส่วน / ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขาวป้อม หนักสิ่งละ ๒ ส่วน /เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงค์ การบูร หนักสิ่งละ ๖ ส่วน / รงทอง(ประสะแล้ว) หนัก ๔ ส่วน / ยาดำ หนัก๒๐ ส่วน / พริกไทยล่อน หนัก ๙๖ ส่วน
สรรพคุณ    แก้กระษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก วันละ ๑ ครั้ง ก่อนอาหารเช้า หรือก่อนนอน
ครั้งละ ๑/- ๑ ช้อนกาแฟ   ละลายน้ำสุกเป็นกระสาย หรือผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน
คำเตือน คนเป็นไข้ หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทาน


(
จากหนังสือ ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม ๒ โดยกองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หน้า ๑๙-๒๓)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น