วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์สิทธิสารสงเคราะห์

คัมภีร์สิทธิสารสงเคราะห์
ว่าด้วยลักษณะ ลำบองราหู อันบังเกิด ใน ๑๒ เดือน

.     ลำบองราหูเกิดในเดือน ๕ เมื่อแรกจับ ให้ร้อน ให้ท้องขึ้นท้องพอง ลำบองนั้นเกิดแต่เตโชธาตุให้โทษ จับ ขั้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
.     ลำบองราหูเกิดในเดือน ๖  เมื่อแรกจับทำให้มือเท้าเย็น ท้องขึ้น จักษุเหลือง จับให้สันหลังแข็ง จับข้างขึ้น ตาย จับข้างแรมไม่ตาย
.     ลำบองราหู เกิดในเดือน ๗   เมื่อแรกจับทำให้บิดตัว กำมือ ตาเหลือกขึ้นเบื้องบน จับข้างขึ้นตาย จับข้าง แรมไม่ตาย
.     ลำบองราหู เกิดในเดือน ๘   เมื่อแรกจับ ทำให้ปากเปือย ยิงฟัน จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมมไ่ม่ตาย
.     ลำบองราหู เกิดในเดือน ๙    เมื่อแรกจับ ทำให้สะท้านหนาว หดมือหดเท้า จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรม ไม่ตาย
.     ลำบองราหูเกิดในเดือน ๑๐   เมื่อแรกจับ ทำให้ตัวร้อนเป็นเปลว มักให้สะดุ้ง ร้องปลอบไม่หยุด จับข้าง ขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
.     ลำบองราหู เกิดในเดือน ๑๑   เมื่อแรกจับ จับราวนม และรักแร้ ทำให้อ้ารักแร้ แล้วเอามือ ลูกอก ร้องดิ้น ไปดังจะขาดใจ ๓ วันตาย แต่จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
     ลำบองราหู เกิดในเดือน ๑๒   เมื่อแรกจับ ทำให้ชัก ตัวเป็นเหน็บ หาสติมิได้ ร้องไม่ออก จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
.    ลำบองราหู เกิดในเดือน ๑   เมื่อแรกจับ ทำพิษให้เจ็บไปทั่วทุกขุมขน ให้ขนชูชัน ให้ผื่นขึ้นทั้งตัว ให้สะดุ้ง ร้องให้ไม่มีน้ำตา จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
๑๐.    ลำบองราหู เกิดในเดือน ๒ เมื่อแรกจับ จับแต่ลำคอ กระทำให้อ้าปากร้องให้อยู่ ให้กลืนน้ำกลืนข้าว กลืน นมไม่ได้ จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
๑๑.    ลำบองราหูเกิดในเดือน ๓  เมื่อแรกจับ ทำให้ท้องขึ้นท้องพอง เหลือกำหนด หายใจไม่ลง ร้องให้ ดิ้นรน อยู่ดังจะขาดใจ จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย
๑๒.    ลำบองราหู เกิดในเดือน ๔   เมื่อแรกจับ กระทำให้ตาเหลือง ให้กำมือ และขยับตัวไม่ได้ แข็ง กระด้างไป ทั่วทั้งตัว จับข้างขึ้นตาย จับข้างแรมไม่ตาย

ลักษณะกาฬโรคและสันนิบาตต่างๆ
กาฬโรคชื่อ กาฬเสตระ  เมื่อแรกขึ้นทำให้ตกใจสะดุ้งก่อน แล้วจึงผุดมาตั้ง ยอดสีขาว มีน้ำใสมีอาการกระทำให้ ฟกบวม และมึนไปทั่วทั้งตัว ไม่รู้สึกตัว ผิวหน้าซีด หาโลหิตมิได้ ฝ่ามือฝ่าเท้าซีด ขาวเป็นใย ทำให้ทุรนทุราย ยิ่งนัก โรคนี้ ถ้าเกิดแก่ผู้ใด ท่านว่ารักษาหายยากนัก
สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วน   สันนิบาตนี้ถ้าบังเกิดขึ้นกับบุคคลผู้ใด มักเกิดขึ้นที่ชายตับ ให้ตับโตออกมา จนคับ โครง บางทีให้ตับหย่อน ลงถึงตะคาก ให้จับเป้นเวลาดังเป็นไข้ ให้เย็นทั่วทั้งตัว ให้ท้องขึ้นท้องพอง ผะอีดผะอม
 สันนิบาตทุวันโทษ เกิดแต่กองสมุฎฐาน ๖ ประการ ประชุมพร้อมกันเข้าแล้วเมื่อใด มีอาการกระทำให้หนาว ให้บิดคร้าน มักให้ร้อนเป็นกำลัง แล้วทำให้หนาวสะท้าน บริโภคอาหารไม่ได้ เหงื่อตก สยบมัวเมา ปากขม วิงเวียน ผิวหน้าแตกระแหง มักพึงในสิ่งอันเย็น ปัสสาวะเหลือง ตาแดง ให้เล็บและผิวเนื้อเหลือง มีกลิ่นดังสาบม้า ลักษณะดังกล่าวมานี้ จัดเป็นทุวันโทษในมหาสันนิบาต 
 

สันนิบาตเจรียงอากาศ   เมื่อบังเกิดมีอาการทำให้ผิวหน้าเหลืองดุจทาขมิ้น ฝ่ามือฝ่าเท้าเหลือง มักให้เวียน ศีรษะ ให้เจ็บแสบในจักษุ กระหายน้ำ มักให้เป็นดังจะหลับแล้วมิหลับเล่า ให้เจ็บในอก ให้ปัสสาวะเหลือง ดุจน้ำ กรักอันแก่ ดูสิ่งนานเห็น บริโภคอาหารไม่ได้ ซูบผอม โทษทั้งนี้เพราะเสมหะ ๑ ส่่วน วาโย ๒ ส่วน ดี ๔ ส่วน ระคนกัน



สันนิบาตเจรียงพระสมุทร เมื่อบังเกิดมีอาการกระทำให้ผิวเนื้อขาวซีด ฝ่ามือฝ่าเท้าซีด หนักมือหนักเท้า เป็นกำลังมักให้เจ็บทุกชิ้นเนื้อ ให้แน่นลำคอแน่นอก มักเป็นลมดังในคอ และให้เรอมิำได้ขาด มักกระทำให้ขึ้งโกรธ มองดูสิ่งใดให้แดงไปสิ้น ครั้นเพ่งดูก็ย่อมเป็นวงไปทั้งนั้น โทษทั้งนี้เกิดแก่ดี ๑ ส่วน เสมหะ ๒ ส่วน วาโย ๔ ส่วน ระคนกัน
 

สันนิบาตบังเกิดเพื่อเสมหะ เมื่อบังเกิดให้จับเป็นเวลา ให้คอแห้ง ถึงทรวงอก ให้ปากแห้ง ฟันแห้ง ลิ้นเปื่อย แตกระแหง ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว ให้เมื่อยทั้งตัว บริโภคอาหารไม่ได้ แน่นในลำคอเป็นกำลัง น้ำตาไหล 

สันนิบาตบังเกิดเืพื่อวาตะ   เมื่อบังเกิดทำให้จับแน่นิ่งไป ครั้นแก้ฟื้นขึ้นมา ก็ให้ชัก เท้ากำมือกำ ให้สะทกไป ทั่วทั้งตัว ให้หน้ามืด ให้ตัวเย็น มือเท้าเย็น ร้อนในอก เป็นกำลัง ขึดอุจจาระ ปัสสาวะ ให้ผูกเป้นพรรดึก 

สันนิบาตบังเกิดเพื่อโลหิต เมื่อบังเกิด ให้เจ็บตั้งแต่รากขวัญลงมาถึงใบหู แล้วเข้าจับเอาแก้วตา ทำให้ตามืด และพิษนั้นจึงแล่นเข้าจับเอาดวงหทัย บางคนสลบไปดุจตาย บางคนให้จับมือจับเท้า โลดโผนโจนไป บางคนจับ ให้แน่นิ่งไป เรียกไม่ได้ยิน อ้าปากไม่ออก บางทีให้เขม่นไปทั่วทั้งตัว ให้ร้อนเป้นกำลัง บางทีจับให้เวียนศีรษะจน ลุกไม่ได้

เบญจกาฬสันนิบาต ๕อย่างอภิฆาตสันนิบาต   อภิวาราภัยสันนิบาต  อภิสังคสันนิบาต  อาคันตุกสันนิบาต  วิสมสันนิบาต  แต่ละอย่างมีลักษณะอาการ ดังนี้
 

.   อภิฆาตสันนิบาต  บังเกิดด้วยอำนาจผู้อื่นเบียดเบียน มีทุบถองโบยตี เป็นต้น จึงมีอาการให้ปวดศีรษะดังต้อง พิษอันใดอันหนึ่ง มักให้ลงท้อง บริโภคอาหารไม่ได้ และมักโกรธ ให้กระหายน้ำ ให้เสียดไปทั้งตัว มักให้สลบ  

.   อภิวาราภัึยสันนิบาต บังเกิดด้วยความเพียร กระทำการงาน และทรมานร่างกาย มีวายเวลา หาความสุขมิได้เป็นต้น จึงมีอาการกระทำให้ขลาด ให้เจรจาผิด ให้ทุกข์โศก และให้บังเกิดซึ่งความโกรธได้ มักให้สะท้านร้อนสะท้านหนาว กระทำดุจปีศาจเช้าสิง มักให้คลั่ง ให้กลัวคน ให้ใหลหลง และให้กระหายน้ำ เป็นกำลัง 
. อภิสังคสันนิบาต บังเกิดด้วยขัดแค้น เคืองขุ่นอันใดอันหนึ่ง และให้เจ็บช้ำน้ำใจ แล้วอาเจียน เป็นโลหิต ออกมา มีอาการกระทำให้ขบศีรษะเสียดแทงไปทั้งตัว ให้สลบไปใจจะขาด ถ้าำได้กลิ่น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักให้ร้อนทุรนทุราย ยิ่งนัก
 
. วิสมสันนิบาต บังเกิดด้วยบริโภคอาหารที่มีพิษ และถูกต้องสิ่งของอันมีพิษ เป็นอชินโรค กล่าวคือ ผิดสำแดง อนึ่ง ประพฤติ อิริยาบถ ไม่สม่ำเสมอกัน คือ แปลกถิ่นที่ดิน และที่นอน เป็นต้น จึงมีอาการกระทำให้ บังเกิด อาการเช่นนั้น อนึ่งเกิดแก่เสพเบญจกามคุณ มักให้จิตใจฟุ้งซ่าน ให้สะอึกสะอื้น ให้ครั่นกาย ให้บริโภคอาหารมิได้ ท่านจึงกำหนดไว้ว่า เป็น วิสมสันนิบาต
.  อาคันตุกสันนิบาต ว่าด้วยลักษณะสันนิบาต อันบังเกิดในที่สุด กำหนดแห่งสมุฏฐาน คือ ๒๙ ราตรี ยีังไปมิได้สำเร็จ และสมุฎฐาน โรคนั้นจึงเจือระคนมา จึงได้นามว่า สันนิบาต ขอให้ดูในคัมภีร์ สมุฎฐานวิจิจฉัย โน้นเถิด
      สันนิบาต บัิงเกิดในกองสมุฏฐาน ๔ ประการ   ได้แก่ สันนิบาต เกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐาน สันนิบาต เกิดเืพื่อ เสมหะสมุฏฐาน   สันนิบาตเกิดเพื่อวาตะสมุฎฐาน สันนิบาต เกิดเพื่อ โลหิตสมุฏฐาน มีดังนี้
 

สันนิบาตเกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐาน มี ๔ อย่าง คือ 

. เกิดเพื่อดีซึม ลักษณะอาการ เมื่อบังเกิด กระทำให้ซึมไป หาสติสมปฤดี มิได้ ให้อิ่มไป ไม่อยากกินอาหาร สะบัดร้อนสะท้านหนาว 

. เกิดเพื่อดีพุล่ง ลักษณะอาการเมื่อบังเกิดกระทำให้คลั่งเป็นคราวๆ บางทีให้กล้า บางทีให้ขลาด ทำให้แน่นอกเป็นกำลัง ให้คอแห้ง ลำคอตีบ กินข้าวกินน้ำไม่ได้ ให้อาเจียน สวิงสวาย ให้พลุ่งขึ้นพลุ่งลงในอก ให้ยกมือ ยกเท้าขวักไขว่ไปมา 

. เกิดเพื่อดีล้น ลักษณะอาการ สันนิบาตเกิดเพื่อดีล้น เมื่่อบังเกิด มักให้โลดโผนไปทั้งตัว เห็นหน้าคนและสิ่ง ใดไม่ได้ ได้ยินได้ฟังสำเนียง อันใดก็ไม่ได้ สมมุติว่า ต้องลมเพลมพัดก็ว่า มีปีศาจเข้าสิงก็ว่า ไม่อยากอาหาร คอ แห้ง กระหายน้ำ น้ำลายเหนียว มือเย็นเท้ืาเย็น แต่ตัวร้อน
 

. เกิดเพื่อดีรั่ว ลักษณะอาการ เมื่อบังเกิดกระทำให้ลงดุจกินยารุ มูลเหลือง ดุจน้ำขมิ้นสุด ให้เคลิบเคลิ้มไป หาสติมิได้ ให้หิวโหย บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง สวิงสวาย แน่นหน้าอกเป็นกำลัง และ ท้องลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด 

ลักษณะอภิญญาณธาตุ ๔ มีดังนี้ 

. ลักษณะชาติธาตุปถวี คือชาติธาตุปถวี กำเริบ หย่อน พิการ มีอาการกระทำให้เสมหะเน่า ให้เจ็บท้อง ท้องขึ้น ให้เสียดแทงและแปรเป็นอัมพฤกษ์ เป็นโรคกระษัย เป็นป้าง ให้เนื้อช้ำใน เล็บมือเล็บเท้าเขียว ให้โลหิต ตกทวารหนัก ทวารเบา กินอาหารไม่อยู่ท้อง โทษทั้งนี้ เกิดแต่กองปถวีธาตุ กำเริบ หย่อน พิการ

. ลักษณะชาตุธาตุอาโป คืออาโปธาตุ กำเริบ หย่อน พิการ มีอาการให้ลงท้อง เจ็บหน้าอก แปรเป็นกล่อน ขัดอุจจาระปัสสาวะ นอนไม่หลับ เป็นพรรดึก กลิ้งขึ้นกลิ้งลง ขัดสีข้าง ถ้าหญิงขัดซ้าย เยียวยายากนัก ถ้าแก้มิฟัง ๗ วันตาย มีอาากรแปรไปให้ขัดหัวเข่าและน่อง เท้าเย็น ให้บังเกิดเสมหะกล้า ผอมแห้ง เจ็บอก ร้อนหน้าตาดัง ไข้จับ

. ลักษณะชาติธาตุเตโช คือเตโชธาตุ กำเริบ หย่อน พิการนั้น มีอาการกระทำ ให้ร้อน ปลายมือ ปลายเท้า มีพิษเจ็บปวดดุจปลาดุกยัก แปรไปให้หลังมือบวม ให้ผื่นขึ้นทั่วสรรพางค์กาย เป็นดังผด และหัด ให้เจ็บท้อง ให้ตกปุพโพโลหิต ให้มือเท้าตาย 

. ลักษณะชาติธาตุวาโย คือวาโยธาตุ กำเริบ หย่อน พิการนั้น มีอาการกระทำ ให้หนักตา เป็นหิ่งห้อย กระ จายออก ให้เมื่อยมือ เมื่อยเท้า ให้เป็นตะคริว และลมจับโปง ให้ขัดหัวเข่า และเมื่อยสันหลัง ให้สองเกลียวคอนั้น แข็ง สมมุติว่า เป็นฝีเส้น มีอาเจียนลมเปล่า เจ็บอก ขัดในท้อง หนักตา

ลักษณะอสุรินธัญญาณธาตุ ๔ มีดังนี้ 

.  สมธาตุ
.  วิสมธาตุ
.  กติกธาตุ( ติกขธาตุ)
.  มันทธาตุ

. สมธาตุ ลักษณะอาการ สมธาตุยิ่งไปด้วยกองสรรพธาตุ มีอาการกระทำให้จับเป็นเวลา บางทีให้ตัวร้อน เท้าเย็น บางทีให้สวิงสวาย ให้เจ็บในอก บริโภคอาหารไม่รู้รส บางทีให้มึน ให้มันทั้งโทษ ทั้งนี้ กล่าวคือ เสมหะสมุฏฐาน ปิตตะสมุฏฐาน และวาตะสมุฏฐาน ประชุมพร้อมกันในกอง วิสติปถวี ให้เป็นเหตุ 

. วิสมธาตุ ลักษณะอาการ วิสมธาตุยิ่งไปด้วยกองวาโยมีกำลัง คือ ทำให้ท้องลั่นอยู่เป็นนิจ บางวันให้ลง บางวันให้อยากอาหาร บางวันให้คับท้อง แน่นอกคับใจ เพลิงธาตุมิได้เสมอ วาโยเดินไม่สะดวก โทษทั้งนี้เกิดแต่ กองฉกาลวาโยเป็นเหตุ 

. กติกธาตุ ( ติกขธาตุ) ลักษณะอาการ กติกธาตุ ( ติกขธาตุ) ยิ่งไปด้วยสรรพิษทั้งปวง มีพิษดี พิษเสหมะ พิษลม เป็นอาทิ พิษอันเศษเป็นที่สุด คือ เพลิงธาตุนั้นแรง เผาอาหารฉับพลันยิ่งนัก กระทำให้จับเซื่อมมัว ทั้ง กลางวันกลางคืน มิได้เว้นเวลา ให้ปวดศีรษะ ให้ผิวเนื้อแดง ตาแดง ให้ขัดอุจจาระ ปัสสาวะ ให้เป็นพรรดึก โทษทั้งนี้ เกิดแต่กองจตุกาลเตโชธาตุ เป็นเหตุ 

. มันทธาตุ ลักษณะอาากร มันทธาตุนั้น ยิ่งไปด้วยเสมหะมีกำลัง คือเพลิงธาตุนั้นหย่อนเผาอาหารมิได้ย่อย กระทำให้ลงไปวันละ ๒-๓ เวลา ให้สวิงสวาย ให้ถอยแรงยิ่งนัก กระทำให้ท้องขึ้นมิรู้วาย ให้อุจจาระ เป็นเมือก มันเป็นเปลว หยาบและละเอียดระคนกัน ให้ปวดมวนเป็นกำลัง โทษทั้งนี้เกิดในกองทวาทสอาโป ให้เป็นเหตุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น