วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ชวตาร


คัมภีร์ชวตาร
ในคัมภีร์นี้ กล่าวถึง ลม ที่บังเกิดโทษแต่มนุษย์ ทั้งหลาย จะเกิดสรรพโรคต่างๆ ก็อาศัยโลหิตและลม บังเกิด โทษให้ถึงตาย เป็นอันมากนั้น เพราะ แพทย์มิได้กำหนดรู้อุปมาเหมือน นายเรืออันประมาท ในท้องมหาสมุทร ลมพัดเรือแตกอัปปาง ก็เป็นเหยื่อแก่มัจฉา เป็นอันมาก ลมที่ให้โทษแก่มนุษย์ คือ
.     ลมอุทธังคมาวาตา  พัดขึ้นเบื้องบน

.    ลมอโธคมาวาตา    พัดลงเบื้องต่ำ แต่สะดือ ขึ้นถึงศีรษะ เรียกว่า เบื้องบน
หากลมทั้ง ๒ ระคนกันเข้าเมื่อใด โลหิตนั้นร้อนประดุจกันกับไฟ   อันเกิดได้วันละ ๑๐๐ ละ ๑,๐๐๐ หน  อาการ ๓๒ ก็พิกล   พรากจากที่อยู่ เตโชธาตุ  ก็ไม่ปกติ  เหตุที่ลมทั้ง ๒ ระคนกันได้ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย  ก็เพราะมนุษย์ทั้งหายได้บริโภคอาหารมิได้เสมอตามปกติ  คือ บางจำพวก  มากกว่าอิ่ม คือกินมากไป บางจำพวก ดิบ เน่า บูด หยาบ น้อยยิ่งนัก   บางจำพวกล่วงผิดเวลา  อยากเนื้อผู้อื่นยิ่งนัก อาการ ๘ จำพวกนี้ เป็นอาหารให้โทษ ใช่แต่เท่านั้น  บุคคลบางจำพวก ถูกร้อนมาก และถูกเย็นมาก เพราะเหตุดังกล่าวนี้  ลมอโธคมาวาตา จึงพัดขึ้นไปหาลม อุทธังคมาวาตา   บางทีลมอุทธังคมาวาตา  จึงพัดให้โลหิตเป็นฟอง อาการ ๓๒ จึงเคลื่อนจากที่อยู่

     ลมเกิดขึ้นในทิศเืบื้องต่ำ คือ ลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาต ลมทั้ง๒ นี้ บังเกิดแก่ ปลายแม่เท้าไปตราบเท่าเบื้องบน ทำให้หวาดหวั่นไหว ไปทั่ว ทั้ง ๖   สรีระกายย่อมถึงแก่พินาศเป็นอันมาก  ลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาตทั้ง ๒ นี้  เป็นที่ตั้งแห่งฐามลมทั้งหลาย    อันบังเกิดได้วันละ ๑๐๐ และ ๑,๐๐๐ ครั้ง
  
     ถ้าลมที้ง ๒ ระคนกันแล้วเมื่อใด รักษาเยียวยายากนัก  เพราะอาศัยลมอันหนึ่งชือ " หทัววาตะ" เกิดขึ้นในน้ำเลี้ยงหัวใจ บุคคลใดจะตาย ลม หทัยวาตะ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น

ลมมีพิษมาก ๖ จำพวก ดังนี้
.    ลมกาฬสิงคลี   จับให้หน้าเขียว  ขอบตาเขียว  บางทีจับให้ใจสั่น  บางทีให้ถอนหาย  ใจฮิึดฮือ  บางทีดิ้นดุจตีปลา ให้ผุด เป็นวงดำ  เป็นวง เขียว วงเหลือง เท่าใบพุทรา เท่าแว่นน้ำอ้อย งบ กำหนด ๓ วัน
.    ลมชิวหาสดมภ   เมื่อแรกให้หาวเรอ และให้เหียนขากรรไกรแข็ง   อ้าขบมิลง  ให้แน่นิ่งไป ไม่รู้สึกตัว ปลุกมิตื่น  กำหนด ๓ วันถึง ๗ วัน
.    ลมมหาสดมภ   เมื่อจับ ให้หาวนอน เป็นกำลัง  ให้หวาดหวั่นไหว อยู่่แต่ใจใจ  ให้นอนแน่นิ่งไป มิรู้สึกกาย
.    ลมทักษิณโรธ   เป็นไข้อันไดๆอยู่ก่อน แล้วจับเท้าเย็นมือเย็น ตามัว  ห้ามมิให้วางยาผาย ดิ้นรน หยุดอยู่มิได้  เจรจามิได้  ลิ้นกระด้างคางแข็ง แก้จงดี  ( ลมในกองไข้)
.    ลมตติยาวิโรธ    เมื่อจับให้มือเท้าเย็น  เป็นลูกกลิ้งในท้อง  ให้จุกท้อง เหมือนสัตว์ตอด สัตว์กด  บางทีปวด แต่แม่เท้าขึ้นมาถึง หัวใจ  นิ่งแน่ไป ดุจดังพิษงูเห่า
.   ลมอีงุ้มอีแอ่น    เมื่อล้มไข้เหมือนสันนิบาต  เมื่อจับอีงุ้มงอไปข้างหน้า  อีแอ่นงอไปข้างหลัง  ถ้าลั่นเสียงดังเผาะเมื่อใด ตายเมื่อนั้น

ลมมีพิษ อีก ๖ จำพวก
.    ลมอินทรธนู    เมื่อจับไข้เหมือนดังรากสาด  เป็นวงล้อม  สะดือดำ   สะดือแดง  สะดือเขียว  สะดือเหลือง  เท่าวงน้ำอ้อยงบ  แต่ชายโครง ตลอดจนหน้าผาก  พิษนั้นอื้อคนึงอยู่แต่ในใจดังผีเข้าอยู่  ถ้าผู้หญิงเป็นซ้าย ชายเป็นขวา  อาการตัด ( ลมในกองไข้)  


.   ลมกุมภัณฑยักษ์   ถ้าลัมไข้ดุจดังสันนิบาต  เมื่อจับให้ชัก มือกำ ชักเท้างอ  มิได้สติสมปฤดี  เรียกมิรู้สึกตัวเลย  กำหนด ๑๑ วัน(ลมในกองไข้)




.   ลมอัศมุขี   เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก  ให้ดิ้นร้องไป แล้วชักแน่นิ่งไป ไม่สมปฤด




.   ลมราทยักษ   เมื่อล้มไข้ลงดุจดังสันนิบาต  เมื่อจับให้มือกำชักเท้ากำ  ลิ้นกระด้างคางแข็ง  กำหนด ๑๑ วัน  ( ลมในกองไข้)




.   ลมบาดทะจิต  เมื่อล้มไข้ลงดุจดังสันนิบาต  แรกจับให้ละเมอเพ้อพก  ว่านั้นว่านี่  ทำอาการ ดุจปิีศาจเข้าสิงอยู่  บางทีว่าบ้าสันนิบาต   เหตุเพราะ จิตระส่ำระสาย  กำหนด ๑๑ วัน




.   ลมพุทธยักษ์   จับชักระสับกระส่าย  ให้ขบฟันเหลือกตา  มือกำเท้างอ  ปากเบี้ยว  ตาแหก  แยกแข้งแยกขา  ไม่มีสติสมปฤดี





     ลม ๖ จำพวกนี้ เยียวยายากนัก เ็ป็นปัจฉิมที่สุดโรค  ให้ตรวจดูทางทวารหนัก ทวารเบา  ถ้ายังอุ่นอยู่ ให้แก้ต่อไป อนึ่ง เอานิ้วมือกดลงแล้วยกขึ้น ดู หาโลหิตมิได้   รอยนิ้วกดแล้วยกขึ้นไป  เป็นรอยเขียวซีด อาการหนักมาก ( อาการตัด)




    อนึ่ง  ในคัมภีร์ มหาโชติรัตน์ และคัมภีร์มหาชัยรัต  กล่าวไว้ว่า โลหิตให้โทษแก่สตรีคลอดบุตร  และชายต้องบาดแผล โลหิตตีขึ้น ให้ถึงแก่กรรม ตายเป็นอันมาก โลหิตทำพิษตีขึ้น ดังนี้ " ในคัมภีร์ชวตาร" ว่า แต่กำลังโลหิต โลหิตก็มิให้โทษ อนึ่งให้พิจารณาว่า ลมเกิด ณ ที่ใด ถ้าเกิดในเส้น ในเนื้อ และโลหิต กระดูก ผิวหนัง และหัวใจ จึงพิจารณา ลมนั้นก่อน แล้วจึงพิจารณายา ที่จะรักษาต่อไป และให้ประกอบยารักษา ตามอาการนั้นๆ





ลมพิเศษ ( ลมทั่วไป )




.   ลมปถวีกำเริบ   ลมพัดอาโปธาตุเป็นฟอง สำแดงโทษ บวมทุกสถาน
   ลมพัดในลำไส้   ให้เป็นลูกกลิ้งอยู่ในท้อง  ให้จุกอกเสียดแทงตามชายโครงทั่ว สรรพางค์กาย และเสียดหัวใจ( กลิ้งขึ้นกลิ้งลง)
.   ลมเข้าในลำไส้ใหญ่และลำไส้น้อย  มักชักให้มือกำ  ชักเท้า  ตัวแข็งงอ  จะบีบเข้าก็มิได้ จับสิ่งอันใด ก็มิได้ สมมุตว่า ลมตะคริว
.   ลมบาทาทึบ  ทั้งสลบทั้งลง  ทั้งอาเจียน  มิรู้ว่าสันนิบาตสองคลอง  ให้มือเขียวหน้าเขียว ให้ชักมิรู้ว่าป่วง ให้ลง กำหนด ๓ วัน
.   ลมพานไส้   อาการให้อาเจียน ให้จุกอก  ถ้าเป็นถึง ๗ เดือน  มักเป็นตัวเสียด  อยู่ซี่โครงข้างซ้าย  ให้ผอมเหลือง  พอใจอยากของดิบคาว ครั้นถึง ๓ ปี จะตาย
.   ลมพิษในลำไส้   ให้เวียนหัว  อาเจียน  จุกอก  ให้ปากหวานและเปรี้ยว  ถ้าเป็นแก่บุคคลผู้ใด  นานเข้ากลายเป็นตัว  เข้าเสียดชายโครงข้างซ้าย ครั้นนานหนักเข้าให้ผอมเหลือง
.  ลมตุลาราก  มักเกิดแต่คอหอย  ให้เหม็นคาวคอ  ถ่มน้ำลายอยู่บ่อยๆ จะหายใจ ให้ขัดอก ถ้าเกิดแก่บุคคลผู้ใด ได้ ๕ เดือน เสียตา จึงหาย
.  ลมกระษัยจุกอก  มักกลายเป็นบิด  และโลหิตและเสมหะ
.  ลมกำเดา  ให้วิงเวียน จักษุลาย  จักษุมืด จักษุฝ้าและขาว  ให้ศีรษะหนักซุนไป  และเจ็บศีรษะ เจ็บตา โทษลม ระคนกำเดา
๑๐ลมผูกธาตุให้เป็นพรรดึก  ครั้นนานไป ก็กลายเป็นเสมหะ กลัดเข้าให้ผอมแห้ง  กายเหลือง ครั้นต่อไป นานก็กลายเป้นหอบ ไอ กินนมมิได้   อาโปธาตุกำเริบ  ทำใ้ห้บวม  แพทย์มิรู้ว่า เป็นริดสีดวง






ยารักษาลมที่สำคัญ ( ยาแก้ลม)

      .     ยาจิตรารมณ์
      .     ยากล่อมอารมณ์
      .     ยาวาตาพินาศ
      .     ยาเขียวประทานพิษ
      .     ยาชุมนุมวาโย
      .     ยามหาสมมิทธิ์ใหญ่
      .    ยาหอมสรรพคุณ
      .    ยาสมมิทธิ์น้อย
      .    ยานัตถุ์ธนูกากะ
      ๑๐   ยาประสะการบูร


( จาก ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม ๒ โดย กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธรณสุข
หน้า ๓๖- ๓๘)


           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น