
สืบ พยานยุบ ปชป. เจ้าหน้าที่ กกต.ชี้ ปชป.มีการสั่งดำเนินการป้ายโฆษณาไว้ก่อนที่ กกต.อนุมัติ และมีการออกใบเสร็จรับเงินไปก่อนจ่ายเช็ค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ส.ค. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานตุลากากรศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์ เพื่อไต่สวนพยานในคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยในวันนี้เป็นการสืบพยานนัดที่ 2 ในส่วนของเจ้าหน้าที่ กกต.ประกอบด้วย นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองฯ นายกฤช เอื้อวงศ์ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง นายอนุชิต ปราสาททอง ผอ.สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐ นางวราพร ณ ป้อมเพชร ผอ.ฝ่ายตรวจสอบระบบบัญชีการเงิน และทรัพย์สิน
โดยก่อนการไต่สวนพยาน นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการผู้ได้รับมอบหมายดำเนินกระบวนการพิจารณา ได้แจ้งว่า ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นร้องคัดค้านพยาน 4 ปาก ยกเว้นนายปกครอง เพียงคนเดียว โดยให้เหตุผลว่า พยานทั้ง 4 ได้นั่งฟังการสืบพยานในนัดแรก ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตามระบบไต่สวนไม่ใช่ระบบกล่าวหา โดยศาลรับฟังบันทึกคำชี้แจง คำให้การ ประกอบหลักฐานที่มี และศาลเป็นกำหนด และสืบพยานไม่ใช่ผู้ร้องนำสืบเอง อีกทั้ง ผู้แทนของ กกต.ก็เป็นคู่กรณี ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมจึงอนุญาตให้พยานทั้ง 4 ปาก เข้าเบิกความ
สำหรับการไต่สวนพยานในวันนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์พยามทำลายความน่าเชื่อถือของพยานของ กกต.ที่มาเบิกความ ในประเด็นเรื่องอำนาจของนายทะเบียน ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย และและคำให้การของพยาน (นายธนิศร์) ให้การในชั้นของคณะคณะคณะกรรมการไต่สวน ที่มี นายอิศระ หลิมศิริวงศ์ บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด และ ม.ล.ปทีป จรูญโรจน์ เป็นประธาน กลับบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ผิด นอจากนี้ การทำงานของ กกต.เป็นไปเพราะแรงกดดันจากคนเสื้อแดง ที่มาบุก กกต. และขู่ กกต.
แต่เจ้าหน้าที่ของ กกต.โดยนายธนิศร์ ได้ยืนยัน และชี้แจงว่า นายทะเบียนใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 6 ประกอบมาตรา 95 ที่ระบุว่า ประธาน กกต.เป็นผู้รักษาการณ์ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง และเมื่อปรากฏเหตุก็ต้องตรวจสอบ แต่การจะตรวจสอบตามวิธีการใดนั้น เป็นเรื่องของการบริหาร และเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะกำหนดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ตั้งกรรมการ หรือนายทะเบียนลงไปสอบเองก็ได้ ส่วนการให้การไม่ตรงกันนั้น เป็นเพราะครั้งแรกตนไม่ได้เป็นผู้ตรวจสอบโดยตรง และได้นำรายงานจาก บริษัท ทรัพย์อนันต์ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีที่ กกต.จ้างให้มาทำการตรวจสอบ และไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ต่อมาได้พบหลักฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการขอเปลี่ยนแปลงการจัดทำบิลบอร์ด เป็นการจัดทำฟิวเจอร์บอร์ด ซึ่งขออนุมัติในวันเดียวกันกับที่จ่ายเงินให้กับบริษัทรับทำ นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานอีกว่า มีการออกใบเสร็จรับเงินก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะจ่ายเช็คค่าจ้าง ซึ่งตามปกติแล้วในใบเสร็จจะต้องออกหลักจากที่ได้รับเงินค่าจ้าง เหตุใดจึงออกใบเสร็จก่อนรับเงิน
อย่างไรก็ตาม นายธนิศร ยังกล่าวยืนยันอีกว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ยืนอยู่บนพื้นฐานข้อกฎหมาย ภายใต้ระเบียบปฏิบัติ และตนมั่นใจว่า กกต.ทั้ง 5 ท่าน ก็ทำงานเป็นผู้พิพากษา และอัยการ ก็ไม่ได้ทำงานเพื่อต้องการกลั่นแกล้งใคร แต่การทำงานของ กกต.ก็ถูกกดดันมาตลอด และเคยถูกปิดล้อมโดยกลุ่มการเมืองหลายกลุ่ม จึงไม่เชื่อว่าจะถูกตัดสินเพราะกดดัน แต่เป็นการตัดสินไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการสอบถามประเด็นดังกล่าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งได้ร่วมรับฟังด้วย โดยได้ยิ้ม และหัวเราะ โดยเฉพาะในตอนที่ตุลาการพยามตัดบทนายบัณฑิต ไม่ให้กล่าวถึงข่าวการชุมนุมที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ โดยระบุว่ามีอยู่ในสำนวนแล้ว
ต่อมา ในเวลา 14.00 น. ได้มีการเบิกความต่อ โดยนายอนุชิต ได้ระบุว่า จากการตรวจสอบพบพิรุธ 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.พรรคประชาธิปัตย์จัดจ้างทำป้ายโฆษณาก่อนที่จะได้รับอนุมติ 2.การทำป้ายนั้น มีขนาดที่ไม่เป็นไปตามที่ขอมาต่อ กกต. และ 3.พรรคประชาธิปัตย์รายงานไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เนื่องจากทาง บริษัท แมซไซอะ ได้ออกใบเสร็จมูลค่า 23 ล้าน ให้ก่อนที่จะมีการเบิกจ่ายเช็ค นอกจากนี้ ยังวางแผนกับ บริษัท เกิดเมฆ และไม่ได้ทำตามโครงการที่อนุมัติ จึงเห็นว่าเป็นการวัตถุประสงค์ และไม่เป็นไปตามแผนงานที่ยื่นไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ พบว่าในการจัดจ้างบบริษัท แมซไซอะ ที่ นายประจวบ สังข์ขาว เป็นผู้ดำเนินการทำป้าย จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการทำสัญญาจ้าง แต่ขณะที่ เรื่องเล็กน้อยกลับมีการทำสัญญา จึงถือเป็นพิรุธ
นายอนุชิต เบิกความต่อว่า บริษัท แมซไซอะ เป็นบริษัทที่รับจ้างทีพีไอ มาทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งในช่วงระยะเวลาเดียวกันบริษัทได้จัดทำป้ายให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย และนายประจวบ ก็รับว่านำเงินจากทีพีไอ มาสั่งจ่ายในการทำงานในวงเงิน 26 ล้านบาท และจากการตรวจสอบยังพบว่านายประจวบ โอนเงินไปยังผู้ใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องรายละไม่เกิน 2 ล้านบาท หลายรายการ ซึ่งในจำนวนนั้นมีคนของพรรคประชาธิปัตย์รวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ ได้พยายามชี้ให้เห็นว่า การสอบพยานของคณะกรรมการตรวจสอบตาม พ.รบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ได้สอบสวน นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นายประจวบ สังข์ขาว หรือ แต่นายอนุชิต กล่าวว่า ได้เชิญทุกคนมาให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ไม่มีใครตอบรับ มีเพียงนายประจวบ เท่านั้น ที่ให้ถ้อยคำเพิ่มเติม นอกจากนี้ นายวิรัตน์ ยังได้ชี้อีกว่า ในขั้นตอนการสอบสวนให้โอกาส นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า มาชี้แจงหลังจากมีผู้ร้องเข้ามาเท่านั้น แต่ก่อนที่จะยุบพรรคกลับไม่เปิดโอกาสให้แก้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
นายวิรัตน์ ยังได้ซักถามนายอนุชิต จนได้คำตอบว่า ในการทำงานนั้น ไม่ได้มีการวัดขนาดของป้ายโฆษณาแต่อย่างใด และได้นำป้ายหาเสียงมาแสดงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ขนาดป้ายกว้าง 1.30 ม. ยาว 2.40 หรือ 2.45 ม. เป็นขนาดฟิวเจอร์บอร์ด ที่ปกติใช้กันในช่วงนั้น และการเว้นขอบไว้อีก 5 ซม. เพื่อใช้กับฟิล์มที่ใช้ในการสกรีน ส่วนการสั่งทำป้ายที่ไม่ทำสัญญาจ้างก็เป็นเรื่องปกติ ที่พรรคการเมืองจะใช้วิธีการโทรศัพท์สั่งทำได้เลย ประกอบกับในช่วงนั้นเป็นช่วงครบวาระของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองจึงมีการเตรียมการอยู่แล้ว นอกจากนี้ ในขณะที่ กกต.อนุมัติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ก็เป็นการอนุมัติในเรื่องจำนวนเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุถึงขนาดของป้าย
ต่อมา เป็นการเบิกความนางวราพร โดยะบุว่า ตนเป็นผู้ที่ทำงานในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น โดยเป็นผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการชุดนายอิศระ และมีหน้าที่ประสานงานทำเอกสาร และรายงานสรุปก่อนเสนอต่อ กกต. และต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการชุด ม.ล.ประทีป
นางวราพร ยังเบิกความโดยนำชาร์ตเส้นทางการเงินมาแสดง พร้อมยืนยันความเกี่ยวพันทางการเงินระหว่างบริษัท พีทีไอ กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่า บริษัท แมซไซอะ มีรายได้ที่มาจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการว่าแจ้งทำป้ายโฆษณาในช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค.2548 จำนวน 36 ล้านบาท และต่อมามีการว่าจ้างอีกแปดโครงการ ซึ่งมีการโอนเงินสลับไปไปมาผ่านบริษัท ทีพีไอ และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเช็ค 22 ฉบับ จำนวน 227 ล้านบาท รวมสองกรณีเป็นเงิน 263 ล้านบาท ซึ่งในการโอนเงินนี้ผ่านทั้งนายประจวบ สังข์ขาว และญาติ รวมถึงผู้บริหารพรรค และ ส.ส.ภาคใต้ ญาติของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และผู้ประกอบการธุรกิจโฆษณา ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของ กกต. ยังพบความผิดปกติทางการเงินในเรื่องบัญชี และการเสียภาษี การออกหลักฐาน การสั่งจ่ายเช็คไม่ระบุจำนวน รวมทั้งเช็คที่สั่งจ่ายแล้วมีการคืนเงินเข้าพรรคผ่านคนขับรถของพรรค
ซึ่งในขั้นตอนนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์พยายามคัดค้านการนำเสนอชาร์ตดังกล่าว เนื่องจากว่าเป็นเอกสารใหม่ที่ทางพรรคยังไม่เคยเห็น และรับรองมาก่อน อย่างไรก็ตาม ศาลได้อนุมัติให้ใช้ในระหว่างการเบิกความ และสั่งให้รับรวมไว้ในสำนวน นอกจากนี้ นางวราพร ยังขอให้ศาลเชิญ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นผู้ทำคดีนี้ตั้งแต่ต้น มาให้ข้อมูลเส้นทางการเงิน และช่องทางภาษี
อย่างไรก็ตาม ในการซักค้านได้มีการโยงว่านางวราพร เป็นภรรยาของ นายศิริชัย ณ ป้อมเพชร ซึ่งเป็นญาติกับมารดาของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่นางวราพร ปฏิเสธว่า ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ เพราะเป็นเพียงสะใภ้ที่แต่งเข้ามา และได้ย้อนอีกว่าภรรยาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ / หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เกี่ยวข้องกับตระกูล ณ ป้อมเพชร เช่นเดียวกับภรรยานายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวไม่มีเรื่องอคติ หรือขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ และยังเคารพนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชา สมัยทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข "ดิฉันเป็นคนชุมพร และเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอดทั้งครอบครัว"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการสืบพยานในนัดต่อไป จะมีขึ้นในวันที่ 30 ส.ค. เวลา 10.00 น. โดยจะมีผู้เข้าเบิกความ 4 ปาก ประกอบด้วย นายประจวบ สังข์ขาว เจ้าของบริษัท แมซไซอะ นายธงชัย ดลศรีชัย ญาตินายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารบริษัท ทีพีไอ และ น.ส.วิไลลักษณ์ ประสงค์ ภรรยานายประชัย.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ | ![]() |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น