วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คดีคนเก็บขยะ สะเทือนขวัญ

วันนี้ (16 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3060/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา เป็นจำเลย ในความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำนำภาพยนตร์ ซึ่งเป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551
     
       โดยคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.51 จำเลยประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำนำภาพยนตร์ ที่เป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์อันเป็นวัสดุที่มีการบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถ นำมาฉายให้เห็นเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดจำหน่ายเป็นแผงลอย ไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ริมบาทวิถี ในตลาดนัดใกล้สี่แยกกรุงเทพกรีฑา เขตบางกะปิ กทม. และได้รับเงินตามราคาแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่ได้จำหน่ายในราคาแผ่นละ 20 บาทโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน
     
       ขณะที่ชั้นพิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ โดยมีเพื่อนพนักงานขับรถขยะ และหัวหน้างานมาเบิกความ นำสืบต่อสู้ว่าจำเลยเป็นพนักงานเก็บขยะ ประจำเขตสะพานสูง กองรักษาความสะอาด กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว เก็บขยะระหว่าง เวลา 04.00-10.00 น.เมื่อเก็บขยะแล้วจะแยกขยะที่พอขายได้ไปขายที่แผงลอย ตลาดหน้าหมู่บ้านนักกีฬา โดยขายปะปนกับหม้อหุงข้าว และรองเท้าเก่า ต่อมาถูกตำรวจ สน.หัวหมากจับ โดยยอมรับว่าขายจริง แต่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ
     
       ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาให้ ปรับ 200,100 บาท แต่คำรับสารภาพจำเลยในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงปรับเป็นเงิน 133,400 บาท หากจำเลยไม่ชำระให้กักขังแทนค่าปรับ
     
       ภายหลัง นางส้มโอ ภรรยาของนายสุรัตน์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 100,000 บาทขอประกันตัว เพื่อต่อสู้คดีอุทธรณ์ต่อไป
     
       ด้าน นางนพรัตน์ อัญมณี น้องสาวของนายสุรัตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่า นำวีซีดีมาขายจริง แต่ที่ทำไปเพราะไม่รู้กฎหมาย ซึ่งพี่ชายไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิด เพราะปกติเมื่อเก็บขยะแล้วก็จะนำของเก่ามาขาย เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เนื่องจากลำพังรายได้จากการเป็นลูกจ้างชั่วคราวไม่เพียงพอ ขณะที่เงินประกันนั้นต้องขอกู้บุคคลอื่นมา ซึ่งเวลานี้ไม่รู้ว่าจะหาเงินมาชำระค่าปรับได้อย่างไร

จะวิเคราะห์ให้อ่านกันนะคะ

ส่วน กรณีที่ศาลพิพากษาเรื่องคนเก็บขยะเก็บเอาแผ่นซีดีมาขาย  จำเลยมีความผิด  และไม่สามารถอ้างความไม่รุ้กฎหมายมาแก้ตัวได้  (ที่อ้างไม่ได้เพราะกฎหมายมีอยู่ทั่วไป  และเรียนรู้ได้ไม่ยาก  สมัยก่อนคนจะเรียนกฎหมายจะมีแต่ชนชั้นปกครองเท่านั้น  ชนชั้นล่างไม่ได้เรียน  ปัจจุบันกฎหมายหาง่าย  เรียนรู้ได้ง่าย  เพียงสนใจไต่ถาม  จึงอ้างไม่ได้)  จึงมีความผิดและต้องรับโทษ

สำหรับ โทษที่จะลงนั้น  เมื่อจำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวน  แม้จะมาปฏิเสธในชั้นพิจารณาก็ตาม  ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  ตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว  ถ้าเป็นคดีลิขสิทธิ  ท่านต้องเข้าใจว่า  คดีละเมิดลิขสิทธินั้นเป็นคดีอุกฉกรรจ  เป็นภัยต่อประเทศ  เพราะ  หากปล่อยให้มีการละเมิดลิขสิทธิได้  การลงทุน  การค้าของเจ้าของลิขสิทธิจะสะดุดทันที  จะไม่มีแบรน์เนมยี่ห้อใดเข้ามาขายในเมืองไทย  จึงเป็นภัยอย่างร้ายแรงเช่นกัน  ท่านอาจมองเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  แต่ใครที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ  หรือเครื่องหมายการค้า  ท่านไปถามเขา  เขาไม่คิดเหมือนท่านนะคะ  ดังนั้นโทษจึงสูง  ลดกึ่งหนึ่งได้ทำไปตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้วค่ะ
(ขอขยายความเนื่องจากมี ท่านทักท้วงมาว่าไม่เกี่ยวกันนนะคะ  ไม่เกี่ยวในรูปคดีแต่เกี่ยวในข้อกฎหมายจะคดีไหนใช้แบบนี้หมดนะคะ  ที่พูดถึงคดีละเมิดลิขสิทธิเพราะเห็นเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันนะคะ)

และคดีดังกล่าวเป็นคดีไม่มีโทษจำคุก  ศาลไม่สามารถรอการลงโทษได้รูปคดีและคำพิพากษาจึงออกมาเช่นนี้ค่ะ
http://webboard.news.sanook.com/forum/index.php?topic=3202275.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น