วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สรรพคุณเภสัช

สรรพคุณเภสัช



สรรพคุณเภสัช คือ การรู้จักสรรพคุณของวัตถุที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรค ก่อนจะรู้สรรพคุณจะต้องรู้จักรสยาก่อน

รสยาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ยารสประธาน หมายถึง รสของยาที่ปรุงหรือผสมเป็นตำรับแล้ว ประกอบด้วยวัตถุธาตุ 3 ประเภท คือ พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ

เมื่อนำมาประกอบเป็นตัวยาสำเร็จรูปแล้ว จะเหลือรสยาสำเร็จรูปเพียง 3 รส เท่านั้น

1.1 ยารสเย็น ได้แก่ยาที่เข้าพืช สัตว์ ธาตุที่ไม่ร้อน มาปรุงเป็นยารสเย็น เช่นยามหานิล ยามหากาฬ ยาเขียว

สรรพคุณแก้ทาง เตโชธาตุ [ธาตุไฟ] แก้ไข้ ระงับความร้อน สำหรับแก้ไข้ในกองฤดูร้อน



1.2 ยารสร้อน ได้แก่ยาที่เข้าพืช สัตว์ ธาตุที่ร้อน มาปรุงเป็นยารสร้อน เช่นยาไฟประลัยกัลป์ ยาสัณฑฆาต ยาประสะกานพลู ยาประจุวาโย

สรรพคุณแก้ทาง วาโยธาตุ [ธาตุลม] แก้ลมกองหยาบ ลมจุกเสียดแน่น ลมพรรดึก บำรุงธาตุ สำหรับแก้ไข้ในกองฤดูฝน



1.3 ยารสสุขุม ได้แก่ยาที่เข้าพืช สัตว์ ธาตุที่ไม่ร้อน มาปรุงเป็นยารสสุขุม เช่นยาหอมอินทจักร ยาหอมเนาวโกฐ ยาสังข์วิชัย

สรรพคุณแก้ทาง อาโปธาตุ [ธาตุน้ำ] แก้แก้ไข้ที่ใช้ยารสเย็นไม่ได้ แก้ลมกองละเอียด ลมวิงเวียน บำรุงกำลัง สำหรับแก้ไข้ในกองฤดหนาว



2. รสของตัวยา แบ่งออกเป็นยา 4 รส ยา 6 รส ยา 8 รส ยา 9 รส

2.1 ยา 4 รส [ ตามคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ]

รสยาฝาด ซาบไปในผิวเนื้อและเส้นเอ็น

รสยาเผ็ด ซาบไปในผิวหนังทุกเส้นขน

รสยาเค็ม ซาบไปทุกเส้นเอ็นและกระดูกทั่วสรรพางค์กาย

รสยาเปรี้ยว ซาบไปในเส้นเอ็นทั่วสรรพางค์กาย

2.2 ยา 6 รส [ ตามคัมภีรวรโยคสาร ]

มธุระ รสหวาน ชอบกับยาให้เจริญอาหาร

อัมพิระ รสเปรี้ยว ทำให้ด ีลม เสลดอนุโลม และเจริญอาหาร บำรุงไฟธาตุ กระทำสารพัดที่ดิบให้สุก ถ้าใช้เป็นเกิดคุณ ใช้ไม่เป็นเกิดโทษ

ลวณะ รสเค็ม เผาโทษ เผาเขฬะ ให้เจรืญไฟธาตุ

กฏกะ รสเผ็ด ทำให้กำลังน้อย ระงับความเกียจคร้าน ระงับพิษ ไม่ให้เจริญบำรุงไฟธาตุและให้อาหารสุก

ติตติกะ รสขม เจริญไฟธาตุ แก้ร้อน แก้กระหายน้ำ กระทำให้มูตรและคูถบริสุทธิ์

กะสาวะ รสฝาด เจริญไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ให้เจริญผิวกายและเนื้อ

2.3 ยา 8 รส [ ตามคัมภีธาตุวิวรณ์ ]

รสขม ย่อมซาบไปตามผิวหนัง

รสฝาด ย่อมซาบไปตามมังสา [ซาบเนื้อ]

รสเค็ม ย่อมซาบเส้นเอ็น

รสเผ็ดและรสร้อน ย่อมซาบกระดูกมได้ิเว้น

รสหวาน ย่อมซึมซาบลำไส้ใหญ่

รสเปรี้ยว ย่อมซาบลำไส้น้อย

รสหอมเย็น ย่อมซาบหัวใจ

รสมัน ย่อมซาบที่ข้อต่อทั้งปวง

2.4 ยา 9 รส

รสฝาด มีฤทธิทางสมาน สมานบาดแผลทั้งภายในและภายนอก แผลสดหรือแห้ง กัดเนื้อร้าย แก้โรคบิด ท้องร่วง แก้อุจาระธาตุพิการ คุมธาตุ

แสลงกับโรค ไอ ท้องผูก โรคลม โรคพรรดึก เตโชธาตุพิการ

รสหวาน มีฤทธิซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้เนื้อในร่างกายชุ่มชื้น บำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงหัวใจ เจริญอาหาร แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง แก้ไอ แก้เสหะแห้ง แก้หอบ

แสลงกับโรค ฟันผุ เสหะเฟื่อง อาเจียน โรคเบาหวาน น้ำเหลืองเสีย บาดแผล

รสเมาเบื่อ มีฤทธิทางแก้พิษ พิษดี พิษเสหะ พิษโลหิต พิษไข้ พิษสัตว์กัดต่อย แก้โรคทางอาโป ธาตุน้ำ แก้พยาธิ ผื่นคัน

แสลงกับโรค ไอ หัวใจพิการ

รสขม มีฤทธิทางแก้ทางโลหิตและดี แก้กำเดา แก้ไข้ต่างๆ ไข้ตัวร้อน ไขัจับสั่น บำรุงน้ำดี เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร

แสลงกับโรค หัวใจพิการ โรคลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ

รสเผ็ดร้อน มีฤทธิทางแก้ทางแกลมจุกเสียด ขับลมให้ผายเรอ บำรุงเตโชธาตุ ธาตุไฟ ขับเหงื่อ ช่วยย่อยอาหาร

แสลงกับโรค ไข้ตัวร้อน เพ้อคลั่ง

รสมัน มีฤทธิทางซึมซาบไปตามเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงเส้นเอ็น แก้ปวดเมื่อย บำรุงไขข้อ บำรุงเยื่อกระดูก เป็นยาอายุวัฒนะ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

แสลงกับโรค เสมหะพิการ เช่น ไอ หอบ บิด และไข้ต่างๆ ร้อนในกระหายน้ำ

รสหอมเย็น มีฤทธิทางบำรุงหัวใจ ตับ ปอด บำรุงครรภ์ แก้อ่อนเพลีย ชูกำลัง แก้กระหายน้ำ ดับพิษร้อน

แสลงกับโรค ลมจุกเสียดแน่น ลมป่วง

รสเค็ม มีฤทธิทางซึมซาบไปตามผิวหนัง แก้โรคผิวหนัง โรคพรรดึก ถ่ายชำระน้ำเหลือง ชำระเมือกมันในลำไส้ ฟอกโลหิต แก้เสมหะเหนียว

แสลงกับโรค อุจาระธาตุพิการ โรคบิดมูกเลือด กระเพาะอาหารเป็นแผล

รสเปรี้ยว มีฤทธิทาง แก้เสมหะพิการ แก้เสมหะเหนียว แก้ไอ แก้ท้องผูก ระบายอุจาระ ฟอกโลหิต แก้กระหายน้ำ

แสลงกับโรค น้ำเหลืองเสีย ท้องเสีย และไข้ต่างๆ

รสจืด มีฤทธิทาง แก้เสมหะ ขับปัสสาวะ ดับพิษไข้ ดับพิษปวดร้อน แก้ทางเตโชธาตุ

แสลงกับโรค ไม่แสลงกับโรคใด



3. รสยาประจำธาตุ คือ ธาตุทั้ง 4

ปถวีธาตุ ธาตุดิน 20 เมื่อพิการแก้ด้วยยา รสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม

อาโปธาตุ ธาตน้ำ 12 เมื่อพิการแก้ด้วยยา รสเปรี้ยว รสขม รสเมาเบื่อ

วาโยธาตุ ธาตุลม 6 เมื่อพิการแก้ด้วยยา รสสุขุม รสเผ็ดร้อน

เตโชธาตุ ธาตุไฟ 4 เมื่อพิการแก้ด้วยยา รสเย็น รสจืด



4. รสยาแก้ตามวัย [ แก้ตามอายุ ] แบ่งอายุออกเป็น 3 วัย แต่และวัยเกิดโรคแตกต่างกัน และใช้รสยาแก้ต่างกัน

1. ปฐมวัย [วัยเด็ก] ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 16 ปี เป็นโรคเพื่อเสมหะ [ สมุฏฐานอาโป ] ควรใช้ยารสหวาน รสเปรี้ยว รสขม

2. มัชฌิมวัย [ วัยกลางคนหรือหนุมสาว] 16 - 32 ปี เป็นโรคเพื่อโลหิตและดี [ สมุฏฐานอาโป ] ควรใช้ยารสเปรี้ยวฝาด เปรี้ยวเค็ม รสขม

3. ปัจฉิมวัย [ วัยผู้เฒ่าหรือคนแก่] 32 - 64 ปี หรือสิ้นอายุขัย เป็นโรคเพื่อลมกำเริบ[สมุฏฐานวาโย]มีอาโปแทรกคือเสมหะกับเหงื่อแทรก ควรใช้ยารสเร้อน รสเค็ม รสขม รสฝาด รสหอม



5. รสยาแก้ตามฤดู ในหนึ่งปีมี 3 ฤดูๆละ 4 เดือน ถือว่าเป็นฤดูแห่งกองโรค คือ เกิดโรคปิตตะ โรควาตะ โรคเสมหะ

คิมหันตฤดู [ ฤดูร้อน] เกิดโรคเพื่อเตโชธาตุพิการ โรคปิตตะพิการ คือดีพิการ ควรใช้ยา รสเย็นและจืด

วสันตฤดู [ ฤดูฝน ] เกิดโรคเพื่อวาโยธาตุพิการ โรควาตะพิการ คือโรคลม ควรใช้ยา รสร้อนและรสสุขุม

เหมันตฤดู [ ฤดูหนาว] เกิดโรคเพื่ออาโปธาตุพิการ สมุฏฐานเสมหะะ ควรใช้ยา รสเปรี้ยวและรสสุขุม



6. รสยาแก้ตามกาล มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนไข้กินยา ให้ทันหรือตรงกับสมุฏฐานของโรค ซึ่งเกิดขึ้นในเวลานั้น แบ่งเป็น 3 กาลอละ 4 กาล

กาล 3 คือ กลางวันแบ่งออกเป็น 3 ยาม กลางคืนแบ่งออกเป็น 3 ยาม

ยาม 1 06.00 - 10.00 หรือ 18.00 - 22.00 เกิดโรคเพื่อเสมหะ ใช้น้ำกระสายยารสเปรี้ยว

ยาม 2 10.00 - 14.00 หรือ 22.00 - 02.00 เกิดโรคเพื่อโลหิตและดี ใช้น้ำกระสายยารสขม

ยาม 3 14.00 - 18.00 หรือ 02.00 - 06.01 เกิดโรคเพื่อลม ใช้น้ำกระสายยารสร้อน

กาล 4 คือ กลางวันแบ่งออกเป็น 4 ยาม กลางคืนแบ่งออกเป็น 4 ยาม

ยาม 1 06.00 - 09.00 หรือ 18.00 - 21.00 สมุฏฐานอาโป พิกัดเสมหะ

ยาม 2 09.00 - 12.00 หรือ 21.00 - 24.00 สมุฏฐานอาโป พิกัดโลหิต

ยาม 3 12.00 - 15.00 หรือ 24.00 - 03.01 สมุฏฐานอาโป พิกัดดี

ยาม 4 15.00 - 18.00 หรือ 03.00 - 06.02 สมุฏฐานวาโย พิกัดวาตะ [ ลม ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น