วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ขบวนการลิ้มเจ้า อ้างแอบแนบชิดบิดเบือนสะเทือนแผ่นดิน

ขบวนการลิ้มเจ้า อ้างแอบแนบชิดบิดเบือนสะเทือนแผ่นดิน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า 8
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน

“4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต”
เป็นกิจกรรมสำคัญของเครือข่ายภาคประชาชนที่รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดง ทั้งในประเทศและทั่วโลกที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งปีที่ 4 ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แตกต่างกับปีที่ผ่านๆมา เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากถึง 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
4 ปีแห่งความหายนะ
การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “วงจรอุบาทว์” อย่างแท้จริง แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ยอมรับว่า
“ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “ความสูญเปล่า” ที่ไม่เพียงฉุดให้บ้านเมืองจมปลักลงไปในเหวลึก ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกและแบ่งฝ่ายเลือกขั้วอย่างที่ไม่เคยปรากฏแล้ว เศรษฐกิจยังพังพินาศ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ไร้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม องค์กรอิสระต่างๆถูกวิพากษ์วิจารณ์และประณามเรื่องความไม่เป็นธรรมและ 2 มาตรฐาน
แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถูกวิจารณ์ว่าตกต่ำสุดขีดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมา ก่อนเพราะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการหมกเม็ดเพื่อลดทอนและทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังหมกเม็ดมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญให้รับรองความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” อีก
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนเกิดความตื่นตัวตระหนักถึงคำว่า “ประชาธิปไตยและความยุติธรรม” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองกลับจมปลักอยู่กับโครงสร้าง อำนาจเดิมๆของกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มอำมาตย์
มาตรฐานอภิสิทธิ์ชน
คนเสื้อแดงหลายล้านคนยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมด้วยมือ เปล่า แต่กลับถูกปราบปรามด้วยกำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเครือข่ายขบวน การ “ล้มเจ้า” แกนนำคนเสื้อแดงถูกส่งฟ้องศาลและจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว
แต่คนเสื้อเหลืองปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายและซ่องโจร แค่มารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วปล่อยตัว
อดีตนายกรัฐมนตรีบุกรุกและครอบครองที่ดินป่าสงวนฯบนเขาไม่มีความผิดเพราะ อัยการชี้ว่าขาดเจตนา แต่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณเชิงเขากลับถูกจับและดำเนินการทาง กฎหมายอย่างเต็มที่
คนเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินและยึดทำเนียบรัฐบาลนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาลและถูกสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
7 ตุลา-พฤษภาอำมหิต 2 มาตรฐาน
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 คนเสื้อเหลืองชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 2 ราย และบาดเจ็บ 443 ราย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชายในฐานะ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งสั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังมีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. กลับยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดเพราะไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังคงอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง และฝ่ายตรงข้าม
ม็อบเสื้อเหลืองขับรถชนและถอยหลังทับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู้คดีและไม่รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปรานีให้รอลงอาญา
ขณะที่พราหมณ์เสื้อแดง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ซึ่งทำพิธีเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ครั้ง เหตุการณ์เมษายน 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศักดิ์ระพีมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
โบดำวิชาการ
นักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ถือป้ายรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดนหมาย เรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาชุมนุม 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่คนเสื้อเหลืองนับร้อยชุมนุมค้านการนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนเป็นมรดกโลก หน้าทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดี
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากลับมีหนังสือเวียนถึงผู้บริหารสถาบัน อุดมศึกษาให้ควบคุมดูแลไม่ให้ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง เป็นตลกร้ายที่ไม่ต่างกับยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของนิสิต นักศึกษาไม่ให้แสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อำนาจ “โจราธิปัตย์”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังทำให้เห็นว่านักการเมือง นักวิชาการ และผู้อาวุโสของสังคมจำนวนไม่น้อยที่เคยประกาศว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับออกมาเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายตุลาการก็ยอมรับอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ทั้งที่ในระบอบประชาธิปไตยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ระบุว่า การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา เป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางระบอบ ประชาธิปไตย
แม้จะมีตุลาการบางคนกล้าสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีคำวินิจฉัยส่วนตัวใน คำพิพากษาว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็น รัฏฐาธิปัตย์แล้วเท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จาก ความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามา จัดการสิ่งต่างๆ
การปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” แต่เป็น “โจราธิปัตย์” โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ถือเป็นความล้มเหลวและความเลวร้ายที่สุดของสังคมไทย ทำ ให้บ้านเมืองต้องแตกแยกและหายนะมาจนทุกวันนี้
อำนาจในมือ “อำมาตย์”
เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่รายล้อมในวัง แต่ “ขบวนการอ้างแอบ” ก็ยังพยายามใช้วาทกรรมต่างๆบิดเบือนและตีความให้สูงไปกว่านั้นเพื่อเป็น อาวุธทางการเมืองกล่าวหาและทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินสายด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ให้โอวาทและบรรยายแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. และนายทหารให้ตระหนักถึงบทบาทของกองทัพ โดยเฉพาะคำว่า “รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร…”
หลังจากเกิดรัฐประหาร ซึ่งนักวิชาการมากมายระบุว่า พล.อ.เปรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสาร Image ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหาร โดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
“พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของ พล.อ.เปรมก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง…
…วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่านคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารมีการประชุมหารือที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของเครือแปซิฟิก ถึง 4 ครั้ง และทุกครั้งก็มีการเชิญบุคคลสำคัญๆที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นแขก ซึ่งต่อมานายปีย์ก็เปิดเผยเองว่าบุคคล 7 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหารคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูง สุด (ในขณะนั้น) นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้เปิดประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ รวมถึงนายปีย์ โดยยืนยันว่าไม่มีการพูดถึงการทำรัฐประหารและการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการหารือเรื่องการบ้านการเมืองกันตามปรกติ
ขบวนการลิ้มเจ้า
ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากแถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1 คือการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาติไทย ประชาชนเคลือบ แคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้าง ขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรง เป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
แถลงการณ์ดังกล่าวสอดรับกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และสื่อของเขาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนัก ทั้งเรื่องคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มี “สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง” ชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องจนเป็นกลุ่มพันธมิตรฯในปัจจุบัน
รัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง “พลังประชาชน” ถูกล้มโดยวิธีพิเศษถึง 2 นายกฯ จนมาเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และยุค ศอฉ. ที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่ต่างจากรัฐบาลในยุครัฐประหารที่ยืดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างไม่มีกำหนด
………….
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน…ครบรอบ 4 เดือน 19 พฤษภาอำมหิต!!
วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่”.. “กระชับวงล้อม”.. มีไว้ปราบปรามสลายการชุมนุม จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมาเรียกร้อง.. ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแม้ใช้กระสุนจริง?
วาทกรรม “ล้มเจ้า”.. “ไม่ จงรักภักดี”.. มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องหาหลักฐาน?
วาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” จึงทำท่าว่าจะเป็น “ขบวนการล้มเจ้ามือหวยบนดิน” เสียมากกว่า?
ทำไมคำว่า “ล้มเจ้า” จึงเป็นวาทกรรมตลาดกลาดเกลื่อน?
ทำไมหนังสือขายดีต้องพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า “ล้มเจ้า”?
ตราบใดที่ยังมี “ขบวนการลิ้มเจ้า” คอยเฝ้าอ้างแอบ แนบชิด บิดเบือน…
ตราบนั้น วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็จะยังคงหลอกหลอนฟั่นเฟือนสะเทือนแผ่นดินอยู่ต่อไปไม่รู้จบ…
ถ้าอยากอ่านแบบเข้มๆเต็มฉบับ แนะนำให้ไปหาซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค “ขบวนการลิ้มเจ้า” ผลงานขมปี๋…โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” มาอ่านได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ

กิจกรรมคนเสื้อแดง “4ปีครบรอบรัฐประหาร” ณ กรุงลอนดอน


ในโอกาสครบรอบ 4ปีการทำรัฐประหาร นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมได้เข้าร่วมกิจจกรรมคนเสื้อแดง ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนายโรเบิร์ตได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมกิจกรรม และนายโรเบิร์ตยังได้แจกสมุดปกขาวอีกด้วย ก่อนกลับนายโรเบิร์ตได้กล่าวกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างสั้นๆว่า
“คนไทยและนานาชาติต่างรับรู้ว่ารัฐบาลไทยพยายามปิดบังความจริง รัฐบาลกระทำการตรงกันข้ามกับแนวทางการสมานฉันท์ที่พวกเขาพูดถึง โดยการขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เลื่อนตำแหน่งให้กับกลุ่มฆาตกรที่สังหารประชาชน และการกระทำของรัฐบาลไทยทำให้รัฐบาลหลายประเทศขุ่นเคือง จากวันนี้ไป รัฐบาลไทยจะอยู่ในอำนาจอีกไม่กี่เดือน ประชาคมโลกได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่รัฐบาลทหารหนุนหลังนี้เกรงกลัวมากที่สุด คือประชาชนคนไทย พวกเขาเรียกตัวเองว่าพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม ปิดปากประชาชนไม่ให้พูดความจริง พวกเขาต้องการให้พวกเราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็น หากเราไม่ช่วยกันสอบสวนเหตุการณ์ฆ่าหมู่อย่างจริงจัง ก็จะมีเหตุการณ์อย่างการฆ่าหมู่ในเดือนเมษายน/พฤษภาคมที่ผ่ามมา พฤษภาทมิฬ

และเหตุหารณ์ฆ่าหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราจะต้องไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เป็นที่น่าเศร้าใจอย่างมากที่คุณอภิสิทธิ์และพวกพ้องกำลังนำพาประเทศไทยไป สู่บ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปรและเต็มไปด้วยความรุนแรง เหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์ และรัฐบาลจะต้องหยุดกระทำการเช่นนี้ เราจะต้องไม่ปล่อยให้ประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศพม่า ประชาคมโลกจะต้องเข้าใจว่าเรากำลังร่วมมือกันขับไล่รัฐบาลทหารที่มีอำนาจ อยู่ ณ ขณะนี้ ขอบคุณมากครับ”

นักสิทธิมนุษยชนถูกรัฐบาลไทยปฏิเสธวีซ่า


มื่อไม่นานมานี้เวปไซต์ World Movement for Democracy ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลไทยปฏิเสธวีซ่าให้กับนักเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) และนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน นาย Vo Van Ai และนางสาวPenelope Faulkner ถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าประเทศไทย ทั้งนี้รัฐบาลไทยต้องการขัดขวางไม่ให้มีการจัดการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชน ในประเทศเวียดนามกับสมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) เพียงหนึ่งคืนก่อนการเดินทางเข้าประเทศไทย ทางสถานทูตไทยได้แจ้งให้นายVo Van Ai ทราบว่าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย แม้ว่านาย Vo Van Ai จะได้รับวีซ่าก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม และทางสายการบินได้แจ้งให้นางสาวPenelope Faulkner  ทราบว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกับสายการบินดังกล่าว เนื่องจาก ทางสายการบินได้รับแจ้งจากเจ้าหน้ารัฐไทยว่า นางสาวPenelope Faulkner ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย
นาย Vo Van Ai และนางสาวPenelope Faulkner มีกำหนดการที่จะเดินทางมาร่วมการประชุมและอภิปรายเกี่ยวรายงานขององค์กรทั้ง สองภายใต้หัวข้อ “From ‘Vision’ to Facts: Human Rights in Vietnam under its Chairmanship of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN).”  โดยรายงานดังกล่าวจะกล่าวถึงเรื่องที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ เวียดนามอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่ประเทศเวียดนามดำรงตำแหน่งผู้นำกลุ่ม ประเทศอาเซียนในปี 2553
นอกจากนี้ การที่เจ้าหน้ารัฐไทยปฏิเสธวีซ่าของบุคคลทั้งสอง ทำให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ประกาศยกเลิกการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชนดังกล่าว และทั้งนี้เพราะถูกกดดันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยด้วย เช่นกัน
ตามความเห็นของ สมาพันธ์สิทธิมนุษยชน (IFHR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเวียดนาม (VCHR) การยกเลิกการประชุมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอิทธิที่ประเทศเวียดนามมีต่อ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความใจแคบของรัฐบาลเวียดนามต่อการอภิปรายเรื่องสิทธิมนุษยชน และตามความเห็นของ Voice of America (VOA) ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในเรื่องของการจำกัดเสรีภาพของสื่อ มวลชนในปีนี้
http://robertamsterdam.com/thai/?p=431

บก.ลายจุด” ประกาศยุติชุมนุม ขอบคุณเสื้อแดงชุมนุมประสบความสำเร็จเกินคาด

เมื่อเวลา 17.30 น. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ได้ขึ้นบนรถกระจายเสียงของตำรวจ ประกาศยุติการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ โดยขอบคุณกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด และขออภัยผู้ทำมาหากินย่านราชประสงค์ พร้อมระบุว่าวันหลังจะกลับมาตอบแทนด้วยการอุดหนุน

“ในฐานะเป็นคนเสื้อแดงขอกล่าวคำขอโทษและแสดงความเสียใจ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และผู้ประกอบการทุกท่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้ยุติการร่วมตัวกันเพียงเท่านี้ ใครอยากอยู่ต่อให้อยู่บนฟุตบาท เพราะเราต้องคืนถนนให้กับคนกรุงเทพฯเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าสร้างความวุ่นวาย และเสียภาพลักษณ์ทางการเมือง”นายสมบัติกล่าว

สำหรับแนวทางการเคลื่อนไหวหลังจากนี้จะไม่มีการรวมตัวครั้งใหญ่อีกอย่าง น้อย 6 เดือน โดยทางกลุ่มจะเน้นทำกิจกรรมเล็กๆ และในสัปดาห์หน้าจะจัดกิจกรรมปั่นจักรยาน ที่จังหวัดอุดรธานีและจากนั้นจะไปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้กลุ่มเสื้อแดงไม่มีเจตนาจะปิดการจราจร จึงอยากขอโอกาสเหมือนกลุ่มพันธมิตรฯ โดยจะไปจัดที่สนามกีฬ่าไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง โดยเป็นกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตามหลังจากนายสมบัติประกาศแจ้งยุติชุมนุม ผู้ชุมนุมได้ส่งเสียงโห่ร้อง และมีท่าทีตอบรับ โดยผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้เริ่มทยอยเดินทางกลับ ขณะที่บางส่วน ยังคงปักหลัง จับกลุ่มนั่งพูดคุย และร้องรำทำเพลง อยู่บริเวณริมถนน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
http://www.siamintelligence.com/sombat-to-announce-stop-a-mass-rally/

รัฐบาล เขาสู้อยู่กับใคร? ทักษิณ ?

"เขาสู้อยู่กับใคร?”.. ไม่ใช่ทักษิณ เพราะโจมตีทักษิณมา 5 ปีแล้วยังชนะไม่ได้ ทำไม? เพราะเขากำลังสู้กับประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเอาชนะได้-ศาสตราจารย์ทามาดะ โยชิฟูมิ มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น
http://thaienews.blogspot.com/2010/09/19-53_19.html

การชุมนุมเสื้อแดง 19 ก.ย. 53

ภาพข่าวบางส่วนการชุมนุมเสื้อแดง 19 ก.ย. 53

 สมาชิกนปช.หรือเสื้อแดงจุดเทียนรำลึกผู้วายชนม์จากการปราบปรามใน เหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ผู้ชุมนุมได้เพิกเฉยต่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามการชุมนุมทางการ เมืองที่รัฐบาลคงยังประกาศใช้อยู่ในนครหลวงของไทย นี่เป็นการชุมนุมใหญ่หนแรกนับตั้งแต่ทหารเข้าสลายการชุมนุมที่ยุติลงอย่าง นองเลือด(ภาพข่าว:AP)

http://thaienews.blogspot.com/2010/09/19-53_19.html

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กานพลู

กานพลู


Clove

Syzygium aromaticum (Linn.) Merr. et Perry

(Eugenia caryophylta) (Spreng.) Bullock et Harrison)

MYRTACEAE
รูปลักษณะ


ไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือรูปใบหอก กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 6-10 ซม. ขอบเป็นคลื่น ใบอ่อนสีแดงหรือน้ำตาลแดง เนื้อใบบาง ค้อนข้างเหนียว ผิวมัน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาวและร่วงง่าย กลีบเลี้ยงและฐานดอกสีแดง หนา แข็ง ผลสด รูปไข่

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

ดอกตูมแห้ง - ใช้แช่เหล้า เอาสำลีชุบอุดรูฟัน แก้ปวดฟัน หรือใช้ขนาด 5-8 ดอก ชงน้ำเดือด ดื่มเฉพาะส่วนน้ำ หรือใช้เคี้ยวแก้ท้องเสีย ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับน้ำนม นอกจากนี้ ใช้ผสมในยาอมบ้วนปากดับกลิ่นปาก พบว่าในน้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากดอก มีสาร eugenol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ จึงใช้แก้ปวดฟัน มีฤทธิ์ลดอาการปวดท้อง ขับน้ำดี ลดอาการจุกเสียดที่เกิดจากการย่อยไม่สมบูรณ์ กระตุ้นให้มีการหลั่งเมือก และลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยขับน้ำนม

http://www.gpo.or.th/herbal/pictures/g6_01.jpg

ชองระอา

ชองระอา


Barleriaiupulina Lindl.

ACANTHACEAE

ชื่ออื่น เสลดพังพอน เสลดพังพอนตัวผู้

รูปลักษณะ


ไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 เมตร มีหนามแหลมยาวข้อละ 2 คู่ กิ่งก้านสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอกยาวหรือ รูปขอบขนาน กว้าง 1.8-2.5 ซม. ยาว 6-12 ซม. ผิวใบเรียบมัน สีเขียวเข้ม เส้นกลางใบสีแดง ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง ยาวประมาณ 8 ซม. ใบประดับค่อนข้างกลม สีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ กลีบดอกสีเหลืองส้ม โคนเชื่อมติดเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากบนมีกลีบขนาดใหญ่ 4 กลีบ กลีบล่างเล็กกว่า มี 1 กลีบ ผล เป็นฝัก รูปไข่

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

ใบ - ใช้ตำละเอียดผสมเหล้า พอกหรือทา ถอนพิษอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อยและเริม

ราก - ใช้ฝนกับเหล้าทาถอนพิษตะขาบ

พลอย"ไม่ร่วมงาน"ได๋"เชื่อเพ้นท์ไม่ส่งSMSเย้ย

''พลอย-เฌอมาลย์'' ลั่นไม่ขอเฟก งดร่วมงาน ''ได๋-ไดอาน่า''
ย้ำไม่อยากสร้างกระแส เผยเห็นตนแรงๆ แต่ก็รักสงบ
ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด โต้ข่าว ''เพ้นท์''
หวานใจหนุ่ม ''โดม-ปกรณ์'' ส่งข้อความสมน้ำหน้าเรื่องข่าวฉาว
ยังคงเป็นเรื่องที่ น่าจับตามอง สำหรับศึกปะทะคารมระหว่าง
 ''พลอย'' เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ กับ ''ได๋'' ไดอาน่า จงจินตนาการ
ที่ล่าสุดคู่กรณีอย่าง สาวได๋ ได้ออกมาเปิดใจว่าอยากจบเรื่องนี้เร็วๆ
เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกด้วย เมื่อผู้สื่อข่าวมีโอกาส
เจอหน้าสาวพลอย ในงานแถลงข่าวภาพยนตร์ เรื่อง ''ชั่วฟ้าดินสลาย''
ณ ร้าน Blue Elephant สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ สาทรใต้ เมื่อ 24 ส.ค.
ที่ผ่านมา เลยขอเข้าไปอัพเดตเกี่ยวกับข่าวดังกล่าวว่าตกลงจะจบได้มั้ย
ซึ่งสาวพลอยก็ตอบเช่นเดียวกับสาวได๋ว่า ตนก็ไม่อยากต่อความยาว
สาวความยืดเช่นกัน พร้อมแจงข่าวกรณีมีเอสเอ็มเอสของ ''เพ้นท์''
หวานใจหนุ่ม ''โดม'' ปกรณ์ ลัม ส่งมาสมน้ำหน้าเรื่องข่าวฉาวที่เกิดขึ้น
ว่าไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน เผยคงมีคนป่วนมากกว่า
 ''สำหรับข่าวที่เกิดขึ้นพลอยก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้น
และพลอยก็ได้ตอบสิ่งที่พลอยคิด พลอยเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้น
พลอยก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเริ่มต้นสักเท่าไหร่ ก็ชัดเจนไปแล้วด้วย
ส่วนเรื่องที่เค้าบอกว่าเค้ากับเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน
ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันมาก่อน (หัวเราะ) อันนี้ก็ข้องใจอยู่เหมือนกัน
พลอยได้ยินตั้งแต่ที่เค้าให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ตอนที่มีข่าวพลอยกับพี่ต้าร์คบ
กันแล้ว เค้าให้สัมภาษณ์ว่าเค้ายินดีที่เพื่อนรักของเค้าทั้งสองคนมารักกัน
พลอยก็อึ้งๆ ไปนิดนึงนะ ว่าพลอยไปเป็นเพื่อนรักของเค้าตอนไหน
พลอยจำไม่ได้ คือว่าคนเราอยู่วงการนี้มา คนเรามีเจอกันแต่ถามว่า
เป็นเพื่อนสนิทมั้ยพลอยว่าไม่ใช่ ถามว่าเคยรู้จักมั้ย พลอยอาจจะเคยช่วยงาน
แต่จำไม่ได้ แต่ปัญหาเรื่องนี้มันคือเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ต้องเอาเรื่องนี้
ขึ้นมาว่าเคยเป็นเพื่อนซี้กันมาก่อนนะ พลอยว่าไม่ใช่เพื่อนพลอย
เพื่อนซี้พลอยไม่มีใครซี้กับเค้าสักคน ถามซี้กันตอนไหน''
จากนั้น ผู้สื่อข่าวถามต่อว่ากับข่าวที่ออกมาเหมือนสาว ''พลอย''
จะดูแรง ในสายตาของประชาชน เกี่ยวกับเรื่องนี้นางเอกสาวตอบว่า
 ''ก็จริง น้อยใจนิดหน่อย อย่างที่บอกว่าพลอยเป็นคนตรง
 เรื่องนี้ไม่ได้เป็นคนนำขึ้นมา พลอยเองก็มีโกรธ มีอารมณ์ความรู้สึก
เป็นรื่องธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้ว แต่พลอยนว่าสิ่งที่พลอยพูด
ก็มีเหตุผลชัดเจน ส่วนที่พลอยตอบไปพลอยก็ไม่อยากต่อความ
ยาวสาวความยืดอะไรมากมาย เพระว่าเรื่องมันไม่เป็นเรื่อง''
''ถามว่าตอนนี้เฟซบุ๊กอันตรายต่อพลอยมั้ย พลอยก็ไม่ได้มีรูปหลุดอะไร
ทุกคนดูได้ เพราะพลอยรู้ว่าเพื่อนพลอยไม่ใช้เพื่อนสนิททั้งหมด มีแฝงบ้าง
ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่พลอยเขียนในเฟซบุ๊กก็ตั้งใจให้เห็นอยู่แล้ว แต่จริงๆ
ไม่มีอะไรค่ะ''
 ต่อคำถามที่ว่าหลังจากนี้ไประหว่าง ''พลอย'' กับ ''ได๋'' จะสามารถร่วมงาน
กันได้มั้ย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ''พลอย'' ตอบอย่างมั่นใจว่า ''จะเรื่องจริงหรือเฟกคะ
(หัวเราะ) ถ้าจะเอาแบบเฟกๆ พลอยต้องบอกว่า ค่ะ ร่วมงานได้ค่ะ
ไม่มีปัญหาค่ะ (หัวเราะ) แต่ถ้าเรื่องจริงพลอยไม่อยากมีปัญหา
ทางใครทางมันดีกว่า พลอยไม่ชอบงานอีเวนต์ที่สร้างกระแสด้วย
ภาพลักษณ์เราอาจดูแรง แต่เราอยากอยู่นิ่งๆ ชิวชิวมากกว่า ก็ขอทำงาน
ในส่วนของตัวเองดีกว่า ดีที่สุด''
 ถามต่อว่าเกี่ยวกับข่าวที่เกิดขึ้น หนุ่มต้าร์ว่าไงบ้าง ''พี่ต้าร์
อย่างที่บอกพี่ต้าร์จริงๆ เค้าเป็นห่วงทางแม่ของผู้หญิงมากกว่าว่าเป็นไงบ้าง
ส่งอีเมลไปคุย ก็จริงๆ เค้างง ทำไมเป็นข่าวได้ เค้าก็บอกต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
 เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อฝ่ายใดๆ พลอยไม่ทราบ แต่พี่ต้าร์บอกจะไม่ส่งเมสเซจ
ไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแล้ว เพราะสุดท้ายตัวพี่ต้าร์เค้าก็โดนด่า
เพราะการที่เค้าทำอะไรปกป้องคนอื่น ทุกคนออกมาดูดีที่สุด
สุดท้ายเค้าโดนด่าเป็นผู้ชายไม่ให้เกียรติหญิง เค้าก็เครียดนะ
ก็น่าสงสาร เพราะบางสิ่งบางอย่างเค้าก็พูดไม่ได้ มันก็เครียดนะ
ชีวิตเราจะมีความรักต้องอยู่ในวงการบันเทิงด้วย ต้องเจอข่าวชงบ้าง
ก็คุยกันว่าเราต้องเข้มแข็ง ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ผ่านไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
 เรื่องเล็กๆ เท่านั้นเอง''
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามต่อถึงประเด็นที่ว่า ล่าสุด ''น้องเพ้นท์'' แฟนสาวของ
 ''โดม-ปกรณ์'' ได้ส่งเอสเอ็มเอสมาด้วยข้อความสมน้ำหน้าสาว ''พลอย''
เกี่ยวกับข่าวฉาวดังกล่าว เกี่ยวกับเรื่องนี้สาวพลอยตอบอย่างมั่นใจว่า
''เพ้นท์'' ไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอน และตนคิดว่าเป็นการป่วนกันมากกว่า
''เดี๋ยวๆ เรื่องพี่โดม พลอยไม่เคยมาพูด พลอยเข้าใจว่าคนด่าเยอะนะ
เหมือนแบบประมาณว่าที่แกกับพี่โดมอะไรประมาณนี้ คนสมน้ำหน้า
แต่ช่วยดูข่าวย้อนไปด้วยว่าพลอยไม่เคยทำให้เพ้นท์ต้องลำบากใจ
พลอยเองก็ชัดเจนในส่วนของพลอยแล้ว พลอยว่าคงไม่ใช่ฝีมือเพ้นท์หรอก
ไม่ใช่เรื่องจริง พลอยไม่เคยเจอเค้านะ ถ้าเจอก็คงไม่มีไร เพราะมันไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไร อีกอย่างพลอยไม่เคยทำให้เพ้นท์ลำบากใจ หรือออกมา
พูดอวดว่าอย่างโน้นอย่างนี้ มีแต่คนมาถามเป็นเรื่องงาน ส่วนมากที่ต้อง
ตอบแต่เรื่องส่วนตัว พลอยชัดเจนไปเพ้นท์ก็สบายใจ แต่ว่าไอ้เรื่อง
เอสเอ็มเอสคงไม่ใช่ คงป่วนรึเปล่าๆ'' พลอย กล่าวทิ้งท้าย                                                      



  

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

'อั้ม'' คงคอนเซปต์ ขาว...สวย...อึ๋ม!


เรียกว่าเป็นดาราแม่เหล็กที่ออกงานไหนก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยทีเดียว สำหรับนางเอกสาวเซ็กซี่ ''อั้ม'' พัชราภา ไชยเชื้อ ที่ยังคงเป็นคอนเซปต์ทุกครั้งที่ออกงาน โดยคราวนี้ ''สาวอั้ม'' ได้เป็นหนึ่งในงาน ''Red Bull Drift Team Thailand'' ณ ลานพาร์คสยามพารากอน เมื่อวันก่อน แหม...ขนาดชุดขาวธรรมดา แสงแฟลชก็ยังคงส่อง ''สาวอั้ม'' กระจายเช่นเดิม ชนิดที่ไม่ธรรมดาเลยจ้า...!!

เกาะอก "ซูซี่'' ทำเสียว!


โอ้ว..ว!!! เห็นสาวเกาะอกชุดดำนามว่า ''ซูซี่'' สุษิรา แน่นหนา ไปร่วมเดินเฉิดฉายอยู่บนแค็ตวอล์กในงานแฟชั่นโชว์งานหนึ่ง แล้วก็ไม่วายทำเอาหนุ่มๆ ที่เฝ้ามองส่งเสียงซี้ด...ซ้าด! กันเป็นแถว เพราะลุ้นกับเจ้าเกาะอกสีดำที่ ''สาวซูซี่'' ใส่อยู่นี่สิ! แหม...แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ แค่อวดอึ๋มทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ลุ้นเสียวกันไปอย่างนั้นเอง โอ๊ย..! เสียวว้อย...ยย!!!

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันหลังคว้ามงกุฎของ ฆิเมน่า นาบาร์เรเต้ มิสยูนิเวิร์ส 2010

                     
ผ่านพ้นกันไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2010 ก็ต้องยอมรับเลยว่า ฆิเมน่า นาบาร์เรเต้ สาวงามจากเม็กซิโก สวยสง่าคู่ควรกับตำแหน่งนางงามจักรวาลจริงๆ วันนี้เลยจะขอพาไปดูวันสบายๆ ของเธอหลังจากได้ตำแหน่งกันบ้าง รวมทั้งเก็บตกภาพประทับใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกบนเวทีรอบสุดท้ายกัน อีกด้วย